POLITICS

‘ปริญญา’ เตือนนายกฯ ระวังโดนข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เหตุไม่นำตัว ‘พิศาล’ กลับมาดำเนินคดี

‘ปริญญา’ เตือนนายกฯ ระวังโดนข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เหตุไม่นำตัว ‘พิศาล’ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ปมคดีตากใบ ชี้ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวส่งผลเสียรัฐบาล จับตา ‘เพื่อไทย’ ขับพ้นพรรค

วันนี้ (14 ต.ค. 67) ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีพลเอกพิศาล วัฒนวงษ์คีรี สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังศาลจังหวัดนราธิวาส ออกหมายจับในคดีตากใบ ซึ่งคดีความจะหมดอายุความในวันที่ 25 ต.ค.นี้ว่า เหตุการณ์ที่ตากใบเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ พฤษภาคม 2535 ที่ประชาชนเสียชีวิตจากการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงไม่ควรเกิดอีกเพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนถูกลงโทษ เหตุการณ์ตากใบก็ทำนองเดียวกัน เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วไม่มีการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐ แม้มีการให้เงินเยียวยาต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บสาหัส แต่ความยุติธรรมของผู้เสียหายทั้ง 85 ชีวิตที่ทวงถามมา 20 ปี เรื่องนี้รัฐบาลจะต้องแสดงออกอะไรบางอย่าง เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของรัฐบาล จึงต้องกำชับเรื่องนี้เพราะเหลือเวลาอีกประมาณ 10 วันเท่านั้น

รัฐบาลได้ดำเนินการเรื่องนี้ได้ตามความคาดหมายของประชาชนหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของพลเอกพิศาล การขึ้นศาลอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่หน้าที่ของรัฐบาลซึ่งมีอำนาจในการสั่งการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใคร เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้มีผู้เสียชีวิตนั้น รถคันแรกซึ่งขนมวลชนมาก็เห็นแล้วว่า มีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้น กระทั่งคันสุดท้ายในการขนมวลชน กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากแต่กลับไม่สามารถดำเนินคดีเอาผิดผู้กระทำได้

ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติมีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นผู้บังคับบัญชา พึงกำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการออกหมายแดง ประสานงานกับตำรวจประเทศอื่นใน 10 วันนี้ ถ้าหากรัฐบาลไม่ทำอะไรออกมา ตามที่ควรจะเป็นตามความคาดหวังของประชาชน หลัง 25 ต.ค.นี้ จะเป็นเรื่องที่กระทบกับรัฐบาลได้ เพราะปล่อยให้อายุความขาดไปโดยไม่ทำอะไร จะจับตัวได้หรือไม่ เอามาขึ้นศาลได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่รัฐบาลต้องแสดงออกว่าได้กระทำเต็มที่แล้ว หาไม่แล้วเรื่องนี้จะถูกมองทันที และจะนำไปโยงกับกรณีของนายทักษิณ ชินวัตรด้วย ว่ามีเจตนาในการช่วยเหลือลูกน้อง หรือช่วยเพื่อนหรือไม่ ดังนั้นควรแสดงออกว่ารัฐบาลได้ดำเนินการในสิ่งที่ควรกระทำแล้ว

ส่วนกรณีที่นายสมคิด เชื้อคง ระบุว่าการกระทำของพลเอกพิศาลเป็นความผิดส่วนตัวนั้น เรื่องการต้องข้อหา และต้องขึ้นศาลนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว แต่พลเอกพิศาลเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัว พรรคควรมีการตอบคำถามว่าจะมีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรครัฐบาลและอยู่ในช่วงของการสร้างผลงาน หลายเรื่องก็เห็นผลงานขึ้นมา ขณะนี้คะแนนนิยมของ นางสาว แพทองธาร ชินวัตร ดีขึ้น ถ้าเรื่องนี้ไม่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาจะถูกมองทันทีว่าเป็นการช่วยผู้ต้องหา ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีของรัฐบาล ระยะเวลาที่เหลืออยู่ 10 วันนั้นเป็นเรื่องยากที่จะได้ตัวมาขึ้นศาล แต่สิ่งที่คนรอดูมากกว่าคือ ท่าทีของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย

โดยในวันพรุ่งนี้ (15 ต.ค. 67) พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมเพื่อขับพลเอกพิศาลออกจากพรรค ถือเป็นการรับผิดชอบที่เพียงพอ หรือเป็นแค่การขว้างงูให้พ้นคอ ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่าคงต้องรอดูท่าทีว่าพรรคเพื่อไทยจะมีมติอย่างไร ถ้าพูดอย่างไม่อ้อมค้อมพลเอกพิศาลคงยากที่จะกลับมาทำงานทางการเมืองแล้ว เพราะถ้าลาหยุดการทำหน้าที่ของ สส.จากกรณีคดีถูกสั่งฟ้อง เหมือนว่าตั้งใจที่จะหลบออกไปก่อนเพื่อรอให้คดีความหมดอายุ การกลับมาอีกครั้งหลังจากนี้ก็จะถูกตั้งคำถามว่าเป็น สส.แล้วทำไมถึงไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ศาลมีหมายเรียกก็ไม่มา จนกระทั่งออกหมายจับเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการต่อสู้คดีแต่กลับเลือกที่จะหนี ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่พรรคจะต้องพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร

ในทางกฎหมายอาญาของไทย คดีที่ทำให้มีคนเสียชีวิตจะมีอายุความ 20 ปี และจะขาดอายุความเมื่อ 1. ไม่ได้มีการฟ้องต่อศาลแต่ตรงนี้ก็ทำแล้ว ศาลรับฟ้องแล้ว 2.การเอาตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย ขึ้นศาลซึ่งส่วนนี้ทำให้มีการหลบออกไปให้พ้น วันที่ 25 ต.ค.67 เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อ 25 ต.ค.47 ครบ 20 ปีทำให้ในทางกฎหมายอาญา เท่ากับขาดอายุความ ขอย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องทางกฎหมาย แต่เป็นคำถามใหญ่ ๆ ว่า จากนี้ไปประเทศไทยจะเอาอย่างไร เมื่อมีเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐทำให้ประชาชนเสียชีวิตเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องแสดงออกอะไรบางอย่าง จะปล่อยให้อายุความขาดไปเฉย ๆ โดยบอกแต่เพียงว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล เกรงว่าหลัง 25 ต.ค.ไปแล้วผลเสียหายหรือว่าคำถามจะกลับมาที่พรรคเพื่อไทย

ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวว่าคงพูดไม่ได้ว่ารัฐบาลจริงใจหรือไม่จริงใจในการดำเนินการ เขาอาจจะเข้าใจจริง ๆ ก็ได้ว่านี่เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ตนเองในฐานะอาจารย์ด้านกฎหมายชี้ให้เห็นว่าพลเอกพิศาล มีหมายเรียกให้มาขึ้นศาล การปฏิเสธหมายเรียกก็เป็นปัญหาอยู่แล้ว พอไม่มาก็ออกหมายจับ จึงเป็นหน้าที่ที่จะต้องมาปรากฏตัว เพราะตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมายไทยถือว่าท่านยังบริสุทธิ์อยู่ แต่ที่ท่านหลบหนีอยู่ขณะนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีแปลว่า ท่านมีอำนาจที่ทำอะไรบางอย่าง ซึ่งตนเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง แต่คนมีความคาดหวังและหลัง 25 ต.ค.ผ่านไปแล้วอายุความขาด โดยที่รัฐบาลดูจะจริงจังน้อยไปบ้าง ผลเสียก็จะกลับมาที่รัฐบาลเอง

ผู้สื่อข่าวจึงย้ำว่าการที่ไม่ทำอะไรเพียงพอเท่ากับเป็นการช่วยเหลือหรือไม่ ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่า ก็อาจจะถูกมองอย่างนั้น และนางสาวแพทองธาร อาจถูกมองว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้

Related Posts

Send this to a friend