POLITICS

‘โฆษกรัฐบาล’ เผย BlackRock พร้อมลงทุนในไทย ส่งเสริม BCG

ชี้ เป็นก้าวแรกทางเศรษฐกิจของไทย ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ของสหประชาชาติ

วันนี้ (20 ก.ย. 66) ที่ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการพบปะระหว่างนายกรัฐมนตรี กับ Mr. Larry Fink CEO กลุ่มบริษัท BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำในการบริหารการเงิน และการลงทุนของโลก
ซึ่งเป็นการดึงเอาบริษัทสำคัญอย่าง BlackRock มาลงทุนในประเทศไทย เพราะแนวโน้มของโลกเน้นไปในแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น พลังงานสะอาด การใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด การแก้ปัญหาเรื่องสภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นทิศทางของการลงทุนทั่วโลก คือ Bio-economy,Circular-economy,Green economy หรือ BCG ซึ่งในเมืองไทยเริ่มมาหลายปีแล้ว และในปัจจุบันธุรกิจ BCG เป็นเทรนด์ของโลก ส่งผลให้มูลค่าธุรกิจไทยสูงกว่า 3.4 ล้านล้านบาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ การหันเหทิศทางเศรษฐกิจไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวโน้มของโลก เป็นยุทธศาสตร์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่ง BlackRock เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับการเงิน และการลงทุนเป็นกองทุนขนาดมหึมาเบอร์หนึ่งของโลก

นายชัย กล่าวต่อว่า BlackRock ดูแลบริหารกองทุน 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขเมื่อ 1-2 ปีที่แล้ว แต่รายงานล่าสุดไตรมาส 2 ของปีนี้ ตัวเลขพุ่งสูงขึ้น 9.4 ล้านล้านเหรียญหรือประมาณ 3.1 แสนล้านล้านบาทซึ่งเป็น 100 เท่า ของบประมาณประจำปีรายจ่ายของไทย

นายชัย ระบุว่า Blackrock มีนโยบายชัดเจนคือการส่งเสริมการลงทุน ด้านที่ก่อให้เกิดความยั่งยืน ดังนั้น การลงทุนอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ BCG เรื่องเทคโนโลยีชีวภาพ เอาขยะของเสียมารีไซเคิล พลังงานสะอาด เขาจะส่งเสริม ผลการหารือก็ชัดเจนว่า BlackRock สนใจในอาเซียนมาก ๆ โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่เป็นการดีลกับรายใหญ่ แต่สนใจธุรกิจขนาดย่อม และพร้อมจะเอาเงินมาลงทุน ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ต่างจากการลงทุนในธุรกิจแบบเส้นทางเดิม เพราะต้องอาศัยแรงงานที่มีทักษะ ค่าจ้างสูง ดังนั้น การจ้างงานก็จะเพิ่มขึ้นด้วย และที่สำคัญจะใช้ทรัพยากรน้อยลงเกินครึ่ง ปริมาณขยะลดลง จะส่งผลดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“BlackRock สนใจประเทศไทยอย่างมาก นับเป็นข่าวดีของพี่น้องชาวไทย ถือเป็นก้าวแรกที่นายกรัฐมนตรีออกมานอกประเทศ และเจรจากับเบอร์หนึ่งของกองทุนที่เกี่ยวกับเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ให้เรามีรายได้ที่สูงกว่าทั่วไป” นายชัย กล่าว

นายชัย กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทย มีบริษัทที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่สังคมคนไทยยังไม่ค่อยรู้ ซึ่งทิศทางนี้เป็นเทรนด์ใหญ่ระดับโลก หากเกิดการลงทุน จะมีเงินทุนไหลเข้ามา โดยบริษัทที่ทำอยู่แล้ว จะเพิ่มทุนขยายงานได้

นายชัย ยกตัวอย่างเช่น พลังงานไฟฟ้า โดยใช้กังหันลมที่นับเป็นพลังงานสะอาด ทางบริษัทจะให้ทุน หรือพลังงานแสงอาทิตย์ การนำขยะนำมารีไซเคิล อะไรที่ทำใครนำขยะทำให้เกิดประโยชน์เขาก็พร้อมร่วมด้วย

“หากบริษัทไหนที่ทำอยู่แล้วแต่ไม่มีทุน เขาก็พร้อมให้ทุนสนับสนุน ซึ่งในปีนี้อาจจะไม่ทัน แต่ในปีหน้าจะต้องละเอียดเรื่องนี้มากขึ้น” นายชัย กล่าว

นายชัย ระบุว่า เริ่มต้นจากผู้เล่นที่มีอยู่แล้ว เสริมให้แข็งแรงขึ้น พอตลาดบูม ทิศทางเปลี่ยน คนจะเดินตาม หากเห็นความสำเร็จก็จะเกิดการแข่งขันกันมากขึ้น โดยอาจให้กู้เป็นโครงการไป การส่งเสริมเงินทุน มีคำว่าสถาปัตยกรรมใหม่ทางการเงิน คือผลิตภัณฑ์ทางการเงินมาหลายรูปแบบ

นายชัย ระบุว่า อาจมี Head quarter แบบ regional office เป็นสำนักงานสาขาประจำภูมิภาคแต่ไม่ใช่บริษัทใหญ่ กระจายอยู่ ส่วนจะต้องมีหลักประกันหรือไม่นั้น ในรายละเอียดอาจจะยังไม่ทราบ แต่เป็นการตกลงกันระหว่างบริษัท

“ปัจจุบันนี้มีบริษัทใน 100 บริษัทที่มีอยู่แล้ว มีการลงทุนด้าน BCG ประมาณ 12,500 เหรียญ และภายใน 5 ปีข้างหน้า จะมีเป้าหมายการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 45,000 ล้านเหรียญ” นายชัย กล่าว

สำหรับถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG Summit 2023 เป็นการแถลงต่อหน้าผู้นำทั่วโลก ว่าประเทศไทยเห็นด้วยกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นคำมั่นสัญญาในระดับพหุภาคี คือ จะเดินบนเส้นทางอย่างยั่งยืน โดยเลขาธิการสหประชาชาติเรียกร้องว่าทุกประเทศทั่วโลกที่มีเงินทุน ขอให้มาระดมทุนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อเป้าหมาย 5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 17 ล้านล้านบาท ซึ่งนายกฯ บอกว่าเป้าหมายดีมากในเชิงยุทธศาสตร์ แต่สำหรับเมืองไทยควรจะมีแนวทางที่ทำให้เป้าหมายนี้เป็นจริง ด้วยการรักษาสมดุลของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยใช้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมย้ำว่า จะไม่ทิ้งประชาชน หรือใครไว้ข้างหลัง ซึ่งต้องกระจายให้ประชาชนโดยเฉพาะคนด้อยโอกาสให้ได้ก่อน และจำนวนคนยากจนทุกช่วงอายุจะต้องน้อยลงอย่างมีนัยยสำคัญภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

“ประเทศไทยตั้งเป้าหมายจะส่งเสริมเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียมทางเพศ ความเท่าเทียมในการเข้าถึงการรักษาพยาบาล และตั้งเป้าว่าคนไทยที่ตกอยู่ในภาวะยากจนจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาล ควรลดลงเหลือไม่เกิน 0.25% ในปี 2027”

นายชัย กล่าวต่อว่า ประเทศไทยจะส่งเสริมให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ป้องกัน บรรเทา แก้ไขสภาวะความเปลี่ยนแปลงทางอากาศของโลก หรือโลกร้อน ดังนั้น คนที่ทำธุรกิจในปัจจุบัน หากเดินตามแนวทางนี้ นายกฯ พร้อมสนับสนุน รวมถึงการออกหุ้นกู้สีเขียว Sustainability Linked bond ซึ่งเป็นการออกมาตรการทางการเงิน 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในเศรษฐกิจสีเขียว เป้าหมาย 45,000 ล้านเหรียญ

“ผลสำเร็จไม่ได้หมายถึงแค่เศรษฐกิจ หรือเงิน แต่หมายถึงสิ่งแวดล้อมที่ดีคุณภาพชีวิต ที่ไม่ต้องทนอยู่กับสภาพอากาศที่ร้อนเกิน มลภาวะเยอะ บ้านเมืองเต็มไปด้วยขยะ สิ่งแวดล้อมสกปรก” นายชัย กล่าว

Related Posts

Send this to a friend