POLITICS

’วินัย‘ ยัน นำผลสอบคณะ อนุฯ วินัยเสนอที่ประชุม ก.ตร. ย้ำ ไม่มีเจตนาคิดร้าย

’วินัย‘ ยัน นำผลสอบคณะ อนุฯ วินัย เสนอที่ประชุม ก.ตร. เห็นชอบคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมาย ย้ำ ไม่มีเจตนาคิดร้าย ไม่มีเหตุโกรธเคืองกัน

วันนี้ (26 มิ.ย. 67) เวลา 14:10 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.วินัย ทองสอง ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ แถลงข่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปยื่นฟ้องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยได้ลำดับเหตุการณ์ถึงกรณีที่ถูกฟ้อง พร้อมระบุว่า ส่วนตัวแล้วตนเองกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน เพราะตั้งแต่สมัยอยู่ บช.ก. ตนเองกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาก็ได้เกื้อหนุนกันมา

พล.ต.อ.วินัย กล่าวต่อว่า ในช่วงแรกที่เกิดเหตุ ที่มีข้อขัดแย้งกับทนายความท่านหนึ่ง ตนเองก็ยังไปเตือนสติว่าให้ใจเย็น ๆ เพราะคำพูดเป็นนายตัวเอง เช่น เรื่องงบลับหรือเรื่องต่าง ๆ ซึ่งถูกจับได้ว่าไม่จริง ดังนั้นการที่ตนเองออกมาแถลงข่าวจึงไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่น

พล.ต.อ.วินัย ระบุต่อว่า ภายหลังตนเองได้รับเลือกตั้งให้เป็น ก.ตร. ก็อยากเห็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติดีขึ้น โดยเน้นทำใน 3 เรื่องคือ ต่อสู้เรียกร้องการโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่ไม่สมัครใจ และไม่มีความผิดให้ได้รับการเยียวยา อย่างเช่น “เทวดามาเกิดก็ถีบลูกหมาที่ไม่มีเส้นออก 100 กว่าคน“ การต่อสู้เรื่องการซื้อขายตำแหน่งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนปีที่แล้วแทบไม่มีเสียงในการซื้อขายตำแหน่งเลย และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปตำรวจ โดยเฉพาะสิ่งที่โรงพักขาดแคลน อย่างงบน้ำมัน

อีกทั้ง ตนเองได้รับแต่งตั้งให้ ทำหน้าที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และเป็นประธานคณะอนุกรรมการ ก.ตร.ด้านวินัย ตามที่ ก.ตร.มอบหมาย เพื่อพิจารณาเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อ ก.ตร. กรณีที่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ใช้อำนาจในการให้ออกจากข้าราชการก่อนไม่ถูกต้อง ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการวินัยที่มีประมาณ 19 คน ได้อภิปรายกันอย่างมากมายซึ่งความเห็นของคณะอนุวินัยฯ ก็ยังไม่จบ โดยกฎหมายกำหนดให้ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) เป็นที่สุดท้าย

“เขาก็พูดว่าอย่าไปเปลืองตัวกับเรื่องนี้เลย แต่ตนเองพูดว่าไม่ได้ เพราะเราเป็นเหมือนที่ปรึกษากฎหมายของ ก.ตร. ไม่ว่าจะ สิบตำรวจโท พันตำรวจตรี หรือพลตำรวจเอกถามมาก็ต้องชี้ผิดชี้ถูก” พล.ต.อ.วินัย กล่าว

พล.ต.อ.วินัย กล่าวด้วยว่า คณะอนุฯ วินัยมีมติเสียงส่วนใหญ่ โดยงดออกเสียงหนึ่งคนว่า การดำเนินการของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติตามมาตรา 131 ถูกต้องตามกฎหมาย สิ่งที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์นำไปฟ้องร้องนั้น ก็เพื่อไม่ให้ตนเองเข้ามาพิจารณาเรื่องที่คณะอนุฯ วินัย เสนอเข้าที่ประชุม ก.ตร. ในวันนี้

“ขอขอบคุณหลายสื่อที่เปิดโอกาสให้ผมสามารถนำข้อเท็จจริงที่มีอยู่ทั้งหมด จากการเป็นกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สอบข้อมูลทุกด้าน เปิดโอกาสให้ใช้สิทธิ์ในการป้องกันชื่อเสียงของตัวเอง นำพยานหลักฐานที่มีอยู่ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทั้งเส้นทางการเงินรูปภาพ และอีกหลายอย่างให้สาธารณชนจะได้รับรู้ว่าใครผิดใครถูก ใครทำผิดกฎหมาย ใครทำถูกกฎหมาย เปิดถึงความดีความชั่ว ใครทำดีใครทำชั่ว ใครคนดีใครคนชั่ว เปิดถึงตำรวจอาชีพกับอาชีพตำรวจ มาอาศัยเครื่องแบบในการแสวงหารายได้ เปิดถึงคุณธรรมจริยธรรม ว่าผู้ที่จะเป็นผู้บังคับบัญชา เป็นผู้นำของสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร” พล.ต.อ.วินัย กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมามีการพูดกันถึงเทคนิคทางกฎหมายว่ามีอำนาจหรือไม่ มีการดำเนินการฟ้องคนนั้นคนนี้มากมาย และศาลยกฟ้องเกือบหมด ซึ่งตนเองมองว่าก็ดี จะได้นำสิ่งพวกนี้ไปเปิดเผยให้สาธารณชน และเชิญสื่อมวลชนมาในวันที่ผมไปให้การที่ศาล ซึ่งไม่ต้องใช้นักกฎหมาย สามัญชนก็ชี้ได้ว่าใครทำดีใครทำชั่ว

พล.ต.อ.วินัย ยืนยันว่า ตนเองกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ยังรักกัน ตนเองหวังดีไม่เคยมีจิตคิดร้าย แต่ที่ทำเพราะตำรวจเลือกตนเองมา จึงอยากเห็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติดีขึ้น อยากเห็นตำรวจเป็นตำรวจของประชาชน

เมื่อถามว่าการที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฟ้องร้อง ถือว่าเป็นการฟ้องแก้เกี้ยวหรือไม่ พล.ต.อ.วินัย ระบุว่า ตนไม่รู้ไม่สามารถไปคิดแทน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ได้ แต่ที่เขาฟ้องตนก็ถือว่าเป็นการให้โอกาสตนเองป้องกันตัวเอง และวงศ์ตระกูล ได้ชี้แจงในวันที่แถลงข่าว ในวันที่แถลงข่าวตนพูดเพียงว่าคณะกรรมการเห็นด้วย ว่าที่ศาลออกหมายจับว่าท่านได้ร่วมกระทำผิด และตนก็ยังพูดอีกว่า การถูกกล่าวหาเป็นสิทธิ์ของท่านให้ท่านได้ต่อสู้

สำหรับกรณีหลังจากที่ถูกฟ้องแล้ว ยังมีสิทธิ์เข้าประชุม คณะกรรมการ ก.ตร. อยู่หรือไม่ พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ศาลยังไม่ได้ประทับรับฟ้องอะไรเลย แต่ตนเองจะแสดงตัวในที่ประชุมว่า เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้แล้ว คณะกรรมการในที่ประชุมเห็นด้วยอย่างไร ซึ่งก็แล้วแต่คณะกรรมการในที่ประชุมว่า เห็นตนอยู่ในสภาพร้ายแรงหรือไม่ หากผลออกมาว่า ตนอยู่ในสภาพร้ายแรงก็จะไม่โต้เถียง

เมื่อถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินหน้าฟ้องคนที่อยู่ในคณะกรรมการ ก.ตร. และผู้ที่เกี่ยวข้อง จะทำให้เกิดเดดล็อก ใน ก.ตร.หรือไม่ พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการพิจารณา ต้องใช้เสียง 2 ใน 3 จาก 16 คน ประมาณ 8-9 เสียง แต่วันนี้ก็ขาดไปหลายท่าน ทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคู่ขัดแย้ง

ส่วนถ้าเข้าประชุมได้จะสามารถนำเสนอผลการตรวจสอบของคณะกรรมการวินัยได้เต็มที่เลยใช่หรือไม่ และสามารถพิจารณาว่าชอบได้หรือไม่ พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า คณะกรรมการมีหลายท่านทั้งผู้ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนี้ และผู้ที่เกษียณอายุราชการแล้ว จึงต้องหาความเห็นของทุกคน และคนเหล่านี้ถือว่ามีความรู้ทางด้านของวินัยตำรวจจึงต้องฟัง และที่ผ่านมามีการลงมติมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกมีผลเอกฉันท์ ว่า รักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีอำนาจ​ตามกฎหมาย แต่ครั้งที่ 2 มีความเห็นแย้ง เราก็บันทึกไว้

ขั้นตอนหลังจากนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร จะยืนตามอนุฯ หรือเห็นต่าง และจะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม ก.พ.ค.ตร.หรือไม่ พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ตามกฎหมาย กำหนดไว้ว่าการเพิกถอนคำสั่งหรือการอุทธรณ์คำสั่ง เป็นอำนาจของคณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรม ดังนั้น วันนี้คณะกรรมการ ก.ตร.จะพิจารณาว่า สิ่งที่รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ดำเนินการชอบหรือไม่ชอบ หลังจากที่คณะอนุฯ วินัย มีมติเสียงส่วนใหญ่ว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ใช้อำนาจตามมาตรา 131 ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ มติของ ก.พ.ค.ตร.​ ผลออกมาอย่างไร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องทำตามแย้งไม่ได้เลย และเมื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยื่นร้อง ก.พ.ค.ตร. ไปแล้ว เขาก็น่าจะดึงข้อมูลจากทุกฝ่ายมา

เมื่อถามว่า ส่วนตัวยังยืนยันตามมติของคณะอนุกรรมการวินัย ก.ตร.ใช่หรือไม่ พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ต้องรายงานมติของอนุกรรมการวินัยอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าผลออกมาแบบนี้ มติของคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ไม่มีความหมายใช่หรือไม่ พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าความเห็นของกฤษฎีกา ทางศาลปกครองเคยมีคำพิพากษา ว่า ให้อยู่ในดุลยพินิจ​ของหน่วยงาน

ส่วนการที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฟ้อง จะกลัวหรือไม่นั้น พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ตอนที่ผมเข้ามารับราชการก็ถือว่าขาข้างหนึ่งอยู่ในคุกอยู่แล้ว เรื่องฟ้องเรื่องหมิ่นประมาทเป็นเรื่องจิ๊บ ๆ ตนเองไม่ได้สนใจเลย

ส่วนจะมีการพูดคุยหรือปรับความเข้าใจกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์หรือไม่ หลังจากที่เขาไปฟ้อง พล.ต.อ.วินัย กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีความพยายามที่จะคุยกับตน แต่หลังจากที่เขาไปฟ้องก็ยังไม่ได้พูดคุยกัน

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat