POLITICS

บิ๊กป้อม สั่ง กอนช.เร่งประเมินสถานการณ์ภัย ลานีญา เชื่อไทยไม่เจอฝน 1,000 ปี

พล.อ.ประวิตร สั่ง กอนช.เร่งประเมินสถานการณ์ภัยลานีญา เชื่อไทยไม่เผชิญวิกฤตปริมาณฝนตกหนักรอบ 1,000 ปีเหมือนประเทศอื่น

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ สั่งการให้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ประเมินแนวโน้มปรากฏการณ์ลานีญาที่มีนักวิชาการแสดงความกังวลและให้ข้อสังเกตผ่านสื่อมวลชนว่า ปลายปีนี้ปรากฎการณ์ลานีญามีโอกาสเกิดขึ้น และหากเกิดฝนตกหนักรอบ 1,000 ปีเช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศที่ประสบอุทกภัยหนักในขณะนี้ โดยเฉพาะหากตกในพื้นที่กรุงเทพมหานครการเตรียมการรับมือของหน่วยงานมีความพร้อมอย่างไรนั้น กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ได้รายงานการติดตามและประเมินสภาพภูมิอากาศร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ พบว่า สถานการณ์ภาพรวมช่วงฤดูฝน ปี 2564 สภาพอากาศมีลักษณะคล้ายคลึงกับปี 2551 

โดยช่วงต้นฤดูฝน เดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม จะมีปริมาณฝนน้อยเสี่ยงเกิดภาวการณ์ขาดแคลนน้ำและจะมีฝนตกหนักในเดือนกันยายน – ตุลาคม เสี่ยงเกิดอุทกภัยบริเวณภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ส่วนช่วงปลายปีเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม จะเกิดฝนตกหนักเสี่ยงเกิดน้ำท่วมบริเวณภาคใต้ สำหรับปริมาณฝนปี 2551 นั้นมีค่าน้อยกว่า ปี 2554 ซึ่งเป็นปีที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน

ขณะที่การคาดการณ์ปรากฏการณ์ “ลานีญา” ปัจจุบันกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ปรากฏการณ์ “เอนโซ” อยู่ในสภาวะปกติต่อเนื่องถึงเดือนตุลาคม จากนั้นมีโอกาสพัฒนาเป็นปรากฏการณ์ ”ลานีญา” สภาวะอ่อนๆ ช่วงเดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม ซึ่งมีผลให้เกิดฝนตกเพิ่มขึ้นบริเวณภาคใต้ และจากการคาดการณ์ฝน ONE MAP ช่วงเดือนสิงหาคม – ธันวาคม มีค่าฝนเฉลี่ยมากสุดในเดือนกันยายน ปริมาณ 260 มิลลิเมตร เท่านั้น ดังนั้น โอกาสที่ กทม.จะเกิดเหตุการณ์ฝนตกหนัก รอบ 1,000 ปี หรือเกิน 350 มิลลิเมตรต่อวัน จึงมีความน่าจะเป็นน้อยมาก

ทั้งนี้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ได้รายงาน ปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. – ปัจจุบัน พบว่า ยังคงมีค่าต่ำกว่าค่าปกติ และจากอิทธิพลพายุโซนร้อน “เจิมปากา” มีผลทำให้ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดผ่านประเทศไทยมีกำลังแรงส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณน้ำไหลเข้าแหล่งน้ำทั่วประเทศไทยช่วงวันที่ 20 – 27 ก.ค.64 จะได้ปริมาณน้ำรวม1,830 ล้านลูกบาศก์เมตร แยกเป็น ภาคเหนือ448 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 329 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันตก 916 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคตะวันออก 41 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคกลาง 13 ล้านลูกบาศก์เมตร ภาคใต้ 86 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยทั้งประเทศมีปริมาณน้ำรวม 36,445 ล้านลูกบาศก์เมตร (44%) และยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 45,643 ล้านลูกบาศก์เมตร

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพายุ “เจิมปากา” ไม่เข้าไทยโดยตรง ปัจจุบันได้เคลื่อนตัวปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนและอ่าวตังเกี๋ย และได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้วประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ส่งผลทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งบริเวณจังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภูอุดรธานี สกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มุกดาหาร มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธรอำนาจเจริญ และอุบลราชธานี

กอนช.ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและเร่งดำเนินการตามแผนปฏิบัติการ 10 มาตรการรับมือฤดูฝนโดยเร็ว เพื่อบริหารจัดการน้ำ การป้องกันผลกระทบ และเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือพื้นที่เสี่ยงภัยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งติดตามสถานการณ์แนวโน้มพายุหมุนเขตร้อนที่คาดว่าในปีนี้จะเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทย 2-3 ลูก ในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564 คาดการณ์ปริมาณฝนด้วยแผนที่ ONE MAP วิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและขาดแคลนน้ำช่วงเดือนสิงหาคม – ธันวาคม เพื่อให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการเชิงป้องกันได้ตรงเป้าหมายและลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ตรงจุดและทันสถานการณ์

สำหรับพื้นที่เปราะบางในเขตกรุงเทพมหานคร กอนช.ได้กำหนดมาตการเตรียมการป้องกันผลกระทบน้ำท่วม โดยได้บูรณาการหน่วยงานเกี่ยวข้องโดยเฉพาะจุดรอยต่อ และจุดเสี่ยงได้รับผลกระทบต่าง ๆ เพื่อทำงานเชิงป้องกันล่วงหน้ารองรับสถานการณ์ให้เป็นไปตามมติ ครม. เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมขังรอการระบาย เนื่องจากระบบระบายน้ำสามารถรองรับฝนตกได้เพียง 100-120 มม.ต่อวัน หากฝนตกมากกว่านี้จะเกิดน้ำนองท่วมขังไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน ต้องเร่งสูบระบายน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องสูบน้ำจำนวน1,121 เครื่อง มีศักยภาพสามารถระบายน้ำได้ 807 ลบ.ม./วินาที ประกอบด้วย 5 แนวทางหลัก คือ 

1. ปรับปรุงเพิ่มระบบระบายน้ำเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ของเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่ การก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ การจัดหาพื้นที่หน่วงน้ำ (แก้มลิง) การเพิ่มประสิทธิภาพท่อระบายน้ำ รวมถึงการใช้ระบบตรวจวัดข้อมูลอัตโนมัติเพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำ 

2. การล้างท่อระบายน้ำ สิ่งกีดขวางทางน้ำ ขุดลอกคลอง และบำรุงรักษาเครื่องสูบน้ำสถานีสูบน้ำ และจัดเตรียมเครื่องสูบน้ำชนิดเคลื่อนที่ 

3. การวางแผนป้องกันและแก้ไขปัญหาหากมีเหตุไฟฟ้าขัดข้อง จะมีหน่วยงานเร่งด่วนที่สามารถเข้าแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้ทันที 

4. การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประสานงานแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีกองบังคับการตำรวจจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นศูนย์กลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประสานงานและแก้ไขปัญหา 

5. การจัดทำแผนเผชิญเหตุน้ำท่วมเป็นบริเวณกว้างเกินศักยภาพระบบระบายน้ำ เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในช่วงฤดูฝนนี้

Related Posts

Send this to a friend