POLITICS

‘จุลพันธ์’ แจงแทน รมว.คลัง กรณีหุ้น Stark เผย ทำงานร่วม “ก.ล.ต. – DSI” ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ

วันนี้ (21 ก.ย. 66) ที่อาคารรัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 1 ครั้งที่ 16 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ในวาระกระทู้ถามสด ซึ่งนายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (สส.) จังหวัดเลย พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถาม นายเศรษฐา ทวีสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยระบุว่า เรื่องหุ้น Stark เป็นมหากาพย์การโกงของประเทศไทย ที่มีมูลค่าความเสียหายมาก เป็นทั้งการฉ้อโกง ทุจริต ยักยอกเงิน ไซฟ่อนเงิน และตกแต่งบัญชี โดยมูลค่าการปลอมแปลงสูงถึง 25,063 ล้านบาท

นายเลิศศักดิ์ ระบุว่า บริษัท Stark เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ผลิต และขายสายไฟฟ้าอันดับหนึ่งของภาคอาเซียน และอันดับต้น ๆ ของโลกและมีมูลค่าติดหนึ่งใน 100 ของตลาดหลักทรัพย์ไทย

“บริษัทได้การตกแต่งบัญชี ทำให้หุ้นสูงขึ้นและฉกฉวยโอกาสนี้ในการขายเพื่อเอากำไร มีการสร้างยอดขายปลอม ไม่มีใครจ่ายเงินจริง รวมถึงสร้างยอดขายปลอมโดยจ่ายให้พวกเดียวกันเอง ตัดจำหน่ายภาษีมูลค่าเพิ่มปลอม สร้างรายจ่ายปลอม สร้างรายการชำระเพื่อมาล้างลูกหนี้ปลอม” นายเลิศศักดิ์ กล่าว

นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อเดือนเมษายนปีที่ผ่านมาบริษัทต้องส่งงบการเงินกับตลาดหลักทรัพย์ แต่ทางบริษัทได้ขอเลื่อนออกไปก่อน ทำให้ติด SP รวมถึงได้แต่งตั้งผู้สอบบัญชีรายใหม่ โดยกำไรสุทธิจากเดิมเป็นกำไรหลายล้าน แต่ปีถัดมากลับขาดทุน โดยตาม พ.ร.บ. ตลาดหลักทรัพย์ มาตรา 267 ทางตลาดหลักทรัพย์มีอำนาจในการอายัดทรัพย์ หากพบว่ามีความผิดปกติ หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินของตน จึงขอตั้งคำถามถึงความคืบหน้าการติดตามการเอาผิดผู้บริหารของบริษัทมาลงโทษ, การเอาผิดประธานบริหารที่นำเงินออกจากประเทศ มีโอกาสจะได้เงินเหล่านี้คืนหรือไม่ และเหตุใดตลาดหลักทรัพย์จึงไม่เร่งรัดในการอายัดทรัพย์ดังกล่าว

ด้าน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลุกขึ้นชี้แจงแทน รมว.คลัง ว่า ภายหลังจากมีการโปรดเกล้าฯ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านก็มีการพูดคุยกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างกลไกการตรวจสอบเรื่องการเยียวยาผู้เสียหาย และผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงหากลไกปิดช่องโหว่ในตลาดทุนในไทย ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

“หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐบาล กระทรวงการคลัง ไม่ได้นิ่งนอนใจ ทุกคนติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ทั้ง DSI ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อติดตาม และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ” นายจุลพันธ์ กล่าว

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้การอายัดเงิน และห้ามผู้ที่กระทำความผิดนอกประเทศได้ดำเนินการแล้ว สำนักงาน ก.ล.ต. ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ คณะกรรมการ อดีตกรรมการ และอดีตผู้บริหารของบริษัททั้งสิ้น 10 ราย จากเรื่องการตกแต่งงบการเงินบริษัท การกระทำโดยทุจริตหลอกลวง ซึ่งมีการยื่นคำร้องต่อศาลอาญา และห้ามมิให้มีคำสั่งห้ามผู้ถูกกล่าวโทษออกนอกราชอาณาจักร ตามคำสั่ง ก.ล.ต. เป็นการชั่วคราว และนำผู้ต้องหามาฟ้องคดีต่อศาล ทั้งนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนของการสืบสวน และอายัดเพิ่มเติมอีก

“แม้จะเกิดเหตุการณ์ขึ้น ก่อนรัฐบาลชุดปัจจุบันจะเข้ามา แต่เราก็ติดตามสอบถามรายละเอียด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิกทุกท่าน และประชาชน ว่าเราให้ความสำคัญกับเรื่องตลาดทุนเราจะหาทางติดตาม แก้ไข ตรวจสอบให้ได้” นายจุลพันธ์ กล่าว

ต่อมานายเลิศศักดิ์ ถามต่อในคำถามที่ 2 ว่า มี กระบวนการในด้านกฎหมาย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกอย่างไร

ด้านนายจุลพันธ์ ตอบว่า ตามกรอบกฎหมาย ต้องรวบรวมหลักฐานให้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ทำให้ระยะเวลาในการอายัดทรัพย์ล่าช้า ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมข้อมูล เพื่อทำให้กระบวนการรัดกุมยิ่งขึ้น มีการเพิ่มบทบัญญัติในเรื่องของโทษทางปกครอง และบรรจุโทษปรับเป็นพินัย ซึ่งขณะนี้ ขั้นตอนอยู่ในระหว่างกฤษฎีกา หากผ่านแล้วคงเข้าคณะรัฐมนตรีรับ และพิจารณาในชั้นสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาต่อไป

นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า การปรับปรุงระเบียบต่าง ๆ เหล่านี้ ยังได้การแลกเปลี่ยนกันระหว่าง ก.ล.ต. และกระทรวงการคลังการ ทั้งวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การปรับปรุงข้อมูลสรุปที่ทางตลาดหลักทรัพย์ทำให้นักลงทุนวิเคราะห์ (Fact-Sheet) อัตราส่วนในการกู้ยืมเงิน และยืนยันต่อผู้กู้เงินที่จะลงทุนว่าข้อมูลดังกล่าวเชื่อถือได้ รวมถึงต้องมีความรับผิดชอบในกรณีที่ตัวเลขใน Fact-Sheet เป็นเท็จ หรือไม่เป็นความจริง ซึ่งจะพิจารณาพูดคุยหาทางออก แก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

Related Posts

Send this to a friend