POLITICS

เศรษฐา‘ หวัง ปมขัดแย้งใน ตร. จะไม่เกิดขึ้นอีก ย้ำ ไม่อยากให้ตำรวจแบ่งฝักแบ่งฝ่าย

‘เศรษฐา‘ หวัง ปมความขัดแย้งใน ตร. จะไม่เกิดขึ้นอีก ย้ำ ไม่อยากให้ตำรวจแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เชื่อ ปมตั้งคณะกรรมการสอบตำรวจไม่วืดซ้ำรอยอดีต ชี้ ผู้นำคนละยุค ไม่ตอบ หลังถูกถามจัดการปัญหาอยู่หรือไม่

วันนี้ (21 มี.ค. 67) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเศรษฐา ทวีสิน นายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตํารวจ (ก.ตร.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานมอบนโยบายบริหารราชการให้กับตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาจากทั่วประเทศ ระบุว่า ได้มีการประชุมกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด และที่ชัดเจนคือ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (21 มี.ค. 67) ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว และไม่อยากให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ไปฝักใฝ่กับเรื่องนี้ เพราะเรามีภารกิจในการดูแลพี่น้องประชาชนเป็นหลัก

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่าในที่ประชุมก็ได้มอบนโยบายไปแล้วในหลายด้าน ทั้งในเรื่องของเว็บพนันออนไลน์ เรื่องของยาเสพติด เรื่องหนี้นอกระบบ เรื่องการอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวดูแลสำนักตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งในที่ประชุมรับทราบอยู่แล้ว รวมถึงเรื่องความสมัครสมานสามัคคี ไม่ฝักใฝ่ไปกับคนใดคนหนึ่ง ควรเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง พร้อมย้ำว่า ให้ความสำคัญทุกเรื่องเท่ากันหมด ไม่ได้กำชับเรื่องใดเป็นพิเศษ

ส่วนในเรื่องความรักความสามัคคี ก็ได้บอกไปแล้ว ตนเองก็เชื่อว่าทุกคนเป็นคน ก็ต้องมีรักใครชอบใครแตกต่างกันไป บางคนชอบคนนี้ บางคนชอบคนนั้น แต่เรามาอยู่ตรงนี้ ทำเพื่อพี่น้องประชาชนทั้งนั้น เรื่องความรักความชอบเก็บไว้ในใจดีกว่า และเราไม่ควรไปก้าวก่าย หรือให้ข่าวต่างๆ ก็ไม่อยากให้มีอีกแล้ว เราไม่ได้มีหน้าที่ให้ข่าวเพื่อสนับสนุนคนใดคนหนึ่ง เรามีเพียงหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน

เมื่อถามถึงการตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบเกี่ยวกับความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายเศรษฐา มองว่า เป็นเรื่องกระบวนการตามกฎหมาย ตอนนี้ต้องให้คณะกรรมการมาสืบหาข้อเท็จจริงก่อน และต้องรอดูว่าผลเป็นอย่างไร ขออย่าเพิ่งพูดไปไกล เพราะทั้ง 2 ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ต้องให้เกียรติทั้ง 2 ท่านด้วย

ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการกระเพื่อมใต้น้ำหรือไม่ โดยเฉพาะการบริหารราชการต่างๆ นายกรัฐมนตรีตอบเพียงว่า ”ไม่ทราบครับ“

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่านายกรัฐมนตรีจะเอาเรื่องนี้อยู่ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีเงียบ และไม่ตอบในคำถามนี้

นายเศรษฐา กล่าวอีกว่าเราอย่าไปชี้นำกระบวนการยุติธรรมหรือให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกิดความไม่สบายใจขึ้น เพราะตอนนี้อยากให้สังคมเกิดความสบายใจว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถเดินไปข้างหน้าได้ ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปแทรกแซงกับกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้พี่น้องประชาชนสบายใจว่า ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ก็ยึดมั่นในกฎหมาย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะกู้ความเชื่อมั่นของประชาชนได้หรือไม่ นายเศรษฐา บอกว่า เรื่องนี้ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ ตนมีหน้าที่แก้ปัญหาก็ต้องทำกันไป เชื่อว่าเรื่องนี้จบกันได้ และเดินหน้ากันต่อดีกว่า เรามาดูเรื่องแก้ปัญหายาเสพติด บ่อนพนันออนไลน์ เรื่องโจรขโมย จะดีมากกว่า เพราะทุกท่านในที่นี้ก็มีหน้าที่อยู่แล้ว ควรโฟกัสในเรื่องที่ควรโฟกัส

อีกทั้ง 2 ท่าน ก็ถูกโยกไปอยู่ในสำนักงานนายกรัฐมนตรีแล้ว เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปได้ พร้อมย้ำว่าอย่าไปกดดันหรือชี้นำเลยจะดีกว่า เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะออกมาชี้แจงกันเอง ซึ่งตอนนี้รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก็มีภารกิจหลักอยู่แล้ว พี่น้องประชาชนก็เดือดร้อน ฉะนั้นเราต้องกลับมาว่าเรายืนอยู่ตรงนี้เพื่อใคร เพื่ออะไร เพื่อประชาชนก็ต้องทำต่อไป

ส่วนเรื่องดราม่าต่างๆ จบไปแล้วก็ให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการ และน่าจะปราศจากการแทรกแซงด้วยก็ให้เป็นธรรมความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพราะหากเรามามัวหมกมุ่นกับเรื่องนี้พี่น้องประชาชน และทุกคนก็จะไม่โฟกัสในการทำงาน และเมื่อสักครู่ได้มีการพูดคุยนอกรอบกับทางท่านรักษาการผู้บัญชาการแล้ว จะต้องทำอย่างไรบ้างและในตอนบ่ายก็จะมอบนโยบายลงรายละเอียดในหน่วยงานต่างๆ

ส่วนคณะกรรมการตรวจสอบฯ เมื่อวานนี้มีการพูดคุยกันนิดเดียว เพราะว่าทั้ง 3 คนก็เป็นผู้อาวุโสในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งตรงนี้มั่นใจว่าท่านจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และยืนยันว่าไม่มีธงที่จะเข้ามาแทรกแซง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเชื่อมั่นหรือไม่ ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ได้ นายเศรษฐา ตอบว่า “ ผมหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก”

เมื่อถามต่อว่า จะสร้างภาพลักษณ์หรือความศรัทธาขององค์กรตำรวจกลับมาได้อย่างไร นายเศรษฐา บอกว่า หากใช้คำว่า การสร้างภาพ เป็นเรื่องที่ผิด เพราะภาพที่ออกไปก็สะท้อนการกระทำ ภาพที่ออกไปอย่างไร เวลาก็จะเป็นตัวบอกเอง เพราะทุกท่านในที่นี้ก็มีหน้าที่ของตนเอง ภาพที่ออกไปก็จะได้มาจากที่พวกเราทำกันเองทั้งนั้น

ส่วนการเซ็นคำสั่งย้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาตินั้น ยอมรับว่า เป็นเรื่องยากที่ต้องเซ็นให้ทั้ง 2 ท่าน ย้ายไปทำงานสำนักงานนายกรัฐมนตรี และลำบากใจ ไม่สบายใจ แต่ต้องทำ ส่วนมูลเหตุการย้าย ให้ข่าวไปเยอะแล้ว และไม่อยากกลับไปพูดเรื่องนี้อีก

เบื้องต้น ทั้ง 2 ท่าน ยังไม่แน่ชัดว่าจะให้ไปช่วยงานด้านไหน เพราะยังไม่มีเวลาแบ่งหน้าที่ เนื่องจากยังติดอีกหลายภารกิจ

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า มีหลายคนมองว่าการตั้งคำสั่งย้ายเป็นการจบปัญหา ไม่ได้นำปัญหาขึ้นมาแก้ นายเศรษฐา กล่าวว่า ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ ให้การกระทำเป็นตัวบ่งบอกว่ากระทำแบบนี้มันดีขึ้นหรือไม่ และให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่

เมื่อถามว่า นายกฯ มองอย่างไรถึงการเด้งตำรวจชั้นผู้ใหญ่ถึง 2 ท่านในครั้งเดียวกัน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นายเศรษฐา เผยว่า ไม่ได้มองอะไร เพราะเหตุการณ์แค่ประวัติศาสตร์ ขึ้นอยู่กับบริบทที่เกิดขึ้น ปัญหาต่างๆ ก็แตกต่างกันออกไปแต่ละยุค เรานั่งอยู่อยู่ที่นี่ก็ต้องเอาปัญหาของประชาชนมาเป็นที่ตั้ง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสมเกียรติ

นายเศรษฐา ยังยืนยันไม่ได้ว่า 2 ท่านจะกลับมาทำงานที่ สตช. ต่อหรือไม่ เพราะว่าไม่อย่างนั้นก็จะไม่ต้องมีการตั้งคณะกรรมการฯ แต่หากพิสูจน์แล้วว่าไม่มีปัญหาก็จะสามารถกลับมาใหม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้พูดย้ำไปหลายครั้งแล้ว เพราะพวกท่านเองก็ไม่ได้ถูกลงโทษ ต้องรอผลพิสูจน์ทราบจากคณะกรรมการฯ อย่าคาดการณ์ไปเอง ให้กระบวนการยุติธรรมได้เดินไปเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในอดีตเคยมีการย้ายนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และตั้งบุคคลภายนอกมาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ ก่อนจะมีการยกเลิกคณะกรรมการชุดนั้น และกลับมาใช้ระเบียบของ ตร. ครั้งนี้จะเกิดการซ้ำรอยหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบว่า “ คุณใช้คำถูกแล้วอดีต แต่นี่คือปัจจุบัน ผู้นำก็คนละคน“

Related Posts

Send this to a friend