POLITICS

ไทย แจงเหตุงดออกเสียงรับรองมติสมัชชา สหประชาชาติ กรณีสถานการณ์ในเมียนมา

ไทย ชี้แจงเหตุงดออกเสียง รับรองมติสมัชชาสหประชาชาติ กรณีสถานการณ์ในเมียนมา ระบุเป็นมติที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความเห็นของคนที่ไม่ได้มีพรมแดนติดกับเมียนมา ย้ำ สิ่งที่ประชาคมโลกต้องเร่งสร้างพื้นที่ปลอดภัย ให้กับทุกฝ่าย ย้ำ ไทยไม่เคยนิ่งดูดาย หวังเกิดสันติภาพที่แท้จริง

นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงกรณีประเทศไทยไทย งดออกเสียงในการลงคะแนนเพื่อรับรองข้อมติสมัชชาสหประชาชาติ เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมาเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.2564 (ตามเวลาท้องถิ่นนิวยอร์ก) ว่า ข้อมติดังกล่าวไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยหลายประการที่มีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในเมียนมาซึ่งเป็นปัญหาความมั่นคงของไทยด้วย ดังนี้

1.ข้อมติดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดเห็นของคน ที่ไม่ได้มิได้มีพรมแดนติดกับเมียนมากว่า2,400 กิโลเมตรเหมือนไทย และมิได้มีประชาชนที่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับประชาชนเมียนมาในหลายๆ ระดับมาเป็นเวลาช้านาน เช่นเดียวกับไทย ซึ่งหมายถึงว่าเหตุการณ์ความรุนแรงและการสู้รบ ในเมียนมามีผลด้านความมั่นคงโดยตรงต่อไทยมากกว่าประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป  การกระทําทุกอย่างของประเทศไทยจึงต้องกระทําอย่างรอบคอบอย่างยิ่ง และต้องคํานึงผลที่จะตามมาในทุก ๆ ด้าน  

2. ข้อมติดังกล่าวไม่ได้คํานึงถึงความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของเมียนมา และสถานการณ์จริง ๆ ในเมียนมาทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์วันที่ 1ก.พ. 2564 แต่อย่างใด  ทั้งนี้ในสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อขบวนการสันติภาพในเมียนมาที่แท้จริงนั้น คือการที่ทุกฝ่ายต่างมีความขัดแย้งทางการเมืองอันนําไปสู่ความเจ็บแค้น และไม่ไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันสูงมาก และต่างฝ่ายต่างก็หันไปใช้อาวุธและความรุนแรง ในการแก้ปัญหา 

ดังนั้นสิ่งที่ประชาคมโลกจะต้องทําเพื่อ นําไปสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริงนั้น จึงมิใช่เพียงแค่กล่าวโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดว่าเป็นฝ่ายผิด หรือประนามฝ่ายไดฝ่ายหนึ่ง หรือกระทําการใด ๆ ที่เป็นการสนับสนุนให้ความขัดแย้งบานปลายไปเรื่อย ๆ อันจะรังแต่จะเพิ่มความเกลียดชังและความโกรธแค้นของทุกฝ่ายให้มากขึ้นจนทําให้ความขัดแย้งในปัจจุบันไม่สามารถระงับดับลงได้โดยสันติวิธีได้อีกต่อไป  ดังนั้นแทนที่จะกระทําการประนามแต่อย่างเดียว โดยไม่คํานึงถึงผลเสียหลายประการที่จะตามมานานับประการนั้น 

สิ่งที่ประชาคมโลกจะต้องทําคือหาวิธีทางสันติสุขที่จะสยบการสู้รบให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเร่งเรื่องการหาวิธีการหรือขบวนการที่จะฟื้นฟูและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของทุก ๆ ฝ่ายในเมียนมาให้กลับคืนมาให้ได้ในระดับหนึ่ง และเร่งสร้างสิ่งที่เรียกว่า “พื้นที่ปลอดภัย” ให้กับทุก ๆ ฝ่าย ที่กําลังขัดแย้งกันอยู่ในเมียนมาในขณะนี้ให้หันหน้ากลับมาเจราจากันได้ เพราะทุกฝ่าย สามารถยอมรับและเห็นพ้องกันได้ว่า การใช้ความรุนแรงไม่ใช่นําไปสู่การแก้ปัญหา ที่แท้จริงได้ และการสู้รบจะไม่นํามาซึ่งชัยชนะของฝ่ายตนหรือฝ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จะนํามาก็แต่ความพ่ายแพ้หายนะของประชาชนเมียนมา ซึ่งจะต้องประสบความลําบากยากแค้นแสนสาหัส อันเนื่องมาจากการสู้รบที่ยืดเยื้อ ทั้งที่พวกเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหาเลย ดังนั้นประชาคมโลกจึงไม่ควรกระทําการใด ๆ ที่เสมือนโยนเชื้อไฟเพิ่มเข้าไปในกองเพลิง  

3.ข้อมติดังกล่าวมิได้สะท้อนถึงเจตนารมย์และความพยายามของอาเซียน ซึ่งกําลังดําเนินอยู่แล้วในการแก้ปัญหาความไม่สงบในเมียนมาซึ่งเป็นประเทศสมาชิกหนึ่งของอาเซียน  โดยที่ในการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ เกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา ที่กรุงจาการ์ตา เมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2564 ก็ได้มีฉันทามติเรื่องขั้นตอนและองค์ประกอบ 5 ประการอันจะนําไปสู่สันติสุขในเมียนมาได้และกําลังดําเนินการอยู่แล้ว โดยตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าทุกฝ่ายของความขัดแย้งในเมียนมาเท่านั้นที่จะต้องมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาในเมียนมาเอง  

4. ไทยเชื่อว่า ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ แต่ประชาคมโลกสามารถมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างบรรยากาศหรือสภาวะที่เอื้ออำนวยให้ทุกฝ่ายในความขัดแย้งในเมียนมา หันหน้ามาเจรจากันได้และมิให้กลับไปใช้กำลังต่อสู้ประหัตประหารกันมากขึ้น และสร้างอนาคตที่เมียนมาจะไม่ต้องกลับไปมีความขัดแย้งอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอีก

5.สิ่งที่ไทยห่วงกังวลและให้ความสําคัญที่สุดคือประชาชนชาวเมียนมา ผู้ซึ่งเป็นผู้รับเคราะห์จากการสู้รบจากความขัดแย้งทางการเมืองของหลายฝ่ายในเมียนมามาเป็นเวลาช้านานแล้วและความลําบากยากเข็ญนั้นกําลังทวีความรุนแรงขึ้นตลอดเวลา พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นปกติสุข สามารถทํามาหาเลี้ยงชีพ มีกินมีใช้เยี่ยงประชาชนในประเทศอื่น ๆ รอบข้าง ซึ่งไทยไม่เห็นว่าร่างมติดังกล่าวเป็นแนวทางที่แท้จริงที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนที่ชาวเมียนมาแสวงหาแต่อย่างใด

6. ในส่วนของประเทศไทยเอง เราได้ดําเนินการเพื่อนําไปสู่สันติภาพในเมียนมาอยู่แล้ว ในหลาย ๆ ทางทั้งที่ร่วมกับอาเซียน ทั้งในภาคทวิภาคี และพหุภาคี และไทยไม่เคยนิ่งนอนใจหรือดูดาย ในเรื่องความไม่สงบในเมียนมา และการดําเนินการเหล่านั้นมิได้มีเจตนาแอบแฝงใด ๆ นอกจากจะทําสิ่งที่เป็นประโยชน์จริง ๆ อันจะทําให้ทุกฝ่ายเข้ามาสู่ขบวนการเจรจาสันติภาพเพราะนั่นคือวิธีเดียวเท่านั้นที่จะยุติความไม่สงบในเมียนมาได้

Related Posts

Send this to a friend