POLITICS

สธ.หารือ สปสช. แยกจัดสรรงบบัตรทองส่วนการบริการผู้ป่วยก่อน

ป้องกันกระทบประชาชน ระหว่างรอความชัดเจน การใช้งบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค

วันนี้ (12 ธ.ค. 65) นพ.พงศ์เกษม ไข่มุกด์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผยถึงกรณียังไม่มีการลงนามหลักเกณฑ์จัดสรรงบบัตรทอง ปี 2566 วงเงิน 2 แสนล้านบาท เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในทางกฎหมาย เกี่ยวกับงบส่วนส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่ง โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขที่คิดเป็น 10 % ยังให้บริการประชาชนได้ตามปกติ พร้อมกันนี้ได้สั่งกำชับสสจ.และผู้ตรวจราชการฯช่วยดูแล พร้อมหารือร่วมกับสปสช.เร่งแก้ปัญหา โดยให้แยกจัดสรรงบบริการผู้ป่วยซึ่งเป็นก้อนใหญ่ก่อน ระหว่างรอคำตอบที่ชัดเจนจาก ครม. และคณะกรรมการกฤษฎีกา

นพ.พงศ์เกษม กล่าวว่า “รู้สึกห่วงใยกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ยังไม่ลงนามในหลักเกณฑ์การดำเนินงาน และการบริหารจัดการงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2566 ทำให้ยังไม่มีการจัดสรรงบประมาณหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรืองบบัตรทองลงไปยังหน่วยบริการ หรือสถานพยาบาลต่างๆ สาเหตุจากการนำงบบริการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรค (PP) ไปใช้ให้บริการ นอกเหนือจากสิทธิบัตรทอง คือสิทธิสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคม อาจไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจตามที่ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี 2545 กำหนดไว้ในมาตรา 5 ประกอบมาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 และ มาตรา 10 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสปสช.ได้ดำเนินการหารือ คณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณา ให้มีความชัดเจน

“กระทรวงสาธารณสุข และสปสช.ได้เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยคำนึงถึง 3 เรื่องหลัก คือ 1.ประชาชนต้องไม่ได้รับผลกระทบ โดยให้หน่วยบริการในสังกัด กระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง จัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) ตามปกติ 2.โรงพยาบาลไม่เดือดร้อน และ 3.ต้องเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งจากการหารือนอกรอบเมื่อสัปดาห์ก่อน ท่านเลขาฯสปสช.ได้เห็นชอบตรงกันเรื่องข้อเสนอให้แยกจัดสรร เงินบริการประเภทผู้ป่วยนอก (OP) และผู้ป่วยใน (IP) และรายการอื่นๆ ไปให้หน่วยบริการก่อน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อหน่วยบริการ เนื่องจากงบบัตรทองปีงบประมาณ 2566 วงเงินทั้งหมด 204,140.03 ล้านบาท เป็นงบส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ที่รอการพิจารณาทางข้อกฎหมายเพียง 21,381.11 ล้านบาท หรือประมาณ 10% เท่านั้น งบส่วนอื่นๆ ที่ขอให้แยกจัดสรรเป็นงบส่วนใหญ่ เช่น งบเหมาจ่ายรายหัว 161,602.67 ล้านบาท ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ 3,978.48 ล้านบาท ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 9,952.18 ล้านบาท เป็นต้น

“เรื่องการจัดบริการประชาชน ขณะนี้โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข ยังดำเนินการตามปกติ ส่วนใหญ่มีงบประมาณพอรองรับการดำเนินงาน ระหว่างนี้หากโรงพยาบาลใด มีข้อติดขัดขอให้แจ้งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาในระดับจังหวัด และรายงานผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขประจำเขตสุขภาพ แก้ไขปัญหาในระดับเขตสุขภาพ โดยบอร์ด สปสช.จะมีการประชุมในวันที่ 14 ธันวาคม นี้ หากมีมติให้แยกจัดสรรงบตามที่กระทรวงเสนอ คาดว่าหน่วยบริการจะได้รับจัดสรรงบส่วนใหญ่ สำหรับดูแลประชาชนภายในปลายเดือนธันวาคม 2565”

Related Posts

Send this to a friend