POLITICS

’เพื่อไทย‘ ย้ำจุดยืนเดินหน้าแก้ รธน.ต่อ หลังศาลวินิจฉัย ให้ทำประชามติ 3 ครั้ง

’เพื่อไทย‘ ย้ำจุดยืนเดินหน้าแก้ รธน.ต่อ หลังศาลวินิจฉัย ให้ทำประชามติ 3 ครั้ง จ่อเสนอ ร่างแก้หมวด 15 ก่อนทำประชามติ คาดสัปดาห์หน้ายื่นได้ ขอทุกพรรคร่วมมือหาทางออก ชี้ สสร.แม้ประชาชนเลือกโดยตรงไม่ได้ แต่อาจทำได้โดยทางอ้อม

วันนี้ (11 ก.ย. 68) เวลา 10:30 น. ที่อาคารัฐสภา พรรคเพื่อไทย นำโดย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แลถงข่าวต่อกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำใช้เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา เรื่องอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามคำร้องของประธานรัฐสภาที่ได้ส่งไป อันสืบเนื่องมาจากการเสนอญัตติของ นายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.)

เรื่องแรก คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เราก็ได้ติดตามจากเอกสารที่นำเสนอผ่านสื่อมวลชน และคำวินิจฉัยฉบับเต็มยังไม่ออกมา จึงเกิดความสับสน และมีการถกเถียงกันในเรื่องคำวินิจฉัยหลายประเด็น เช่น รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง ซึ่งตีความได้ว่า เป็นการปฏิเสธหลัก สสร.ที่เลือกจากประชาชนโดยตรง จึงเห็นว่าขัดต่อหลักการที่รับรู้กันมาว่า ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยมีอำนาจที่จะสถาปนารัฐธรรมนูญได้ ซึ่งหากดูตามคำร้องที่ส่งไปที่ศาล ไม่ได้ร้องขอให้วินิจฉัย

อีกทั้ง บางฝ่ายก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเพราะญัตติของพรรคเพื่อไทย ทำให้การจัดทำฉบับใหม่ ยุ่งยากซับซ้อน ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา เราก็ต้องเรียนว่า หากประชาชนได้ติดตามเรื่องนี้ ก็จะทราบอีกทีว่าทันทีที่มีการตัดสินใจบรรจุระเบียบวาระของพรรคประชาชน และของพรรคเพื่อไทยเข้าไปในรัฐสภา ในครั้งนั้นสมาชิกหลายคนบอยคอตหรือไม่เข้าร่วมประชุม บางฝ่ายโตแย้งว่ามีอำนาจหรือไม่ และบางฝ่ายก็บอกว่าหากมีการเดินหน้าต่อไปก็สามารถทำได้ เพราะเรามีอำนาจในการวินิจฉัย พรรคเพื่อไทยจึงเห็นว่ามันไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ จึงส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

สำหรับสาระสำคัญ โดยรวมของคำแถลงรัฐธรรมนูญเมื่อวานนี้ ได้ความมติว่ารัฐสภามีอำนาจหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญต่อไปได้แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน

ประเด็นต่อมา คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่าการดำเนินการต้องเป็นไปตามหมวด 15 ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือผ่านกระบวนการการแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 15 รวมถึงประเด็นต่อมาที่ว่า รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง

อีกทั้ง การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร และครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชน ออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ โดยการออกเสียงประชามติครั้งที่ 2 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้

ดังนั้น ผลจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว พรรคเพื่อไทย เห็นว่า แม้มีอุปสรรคหรือขั้นตอนต่างๆ เพิ่มขึ้น และเป็นปัญหาถกเถียงกันอยู่ แต่พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้ริเริ่ม และติดตามเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาโดยตลอด ยังคงยืนยันที่จะดำเนินการในการแสวงหาการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นประชาธิปไตยต่อไป

นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า เมื่อวิเคราะห์คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแล้ว เราเห็นว่าเราจะต้องดำเนินการดังต่อไปนี้

​​​1. เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องเป็นไปตามหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ดังนั้น จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในหมวด 15 เป็นอย่างอื่นมิได้ คงทำได้เพียงเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น โดยให้รัฐสภาพิจารณาเป็น 3 วาระ ต้องนำไปทำประชามติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256(8)

ส่วนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ไม่อาจกระทำโดย สสร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนได้นั้น แต่อาจจะทำได้โดยเลือก สสร. โดยทางอ้อม หรือรัฐสภามีมติแต่งตั้ง สสร.หรือคณะกรรมาธิการขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งคณะทำงานของพรรคจะไปไตร่ตรองตัดสินใจในชั้นเสนอญัตติต่อรัฐสภา

สำหรับการทำประชามติ เนื่องจากต้องดำเนินการตามหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงต้องทำประชามติอยู่แล้ว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256(8) โดยรัฐสภาต้องแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ

ส่วนการทำประชามติครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้นเมื่อใด พร้อมกันกับการทำประชามติครั้งที่ 2 ได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องพิจารณา เพราะการทำประชามติจะเกิดขึ้นได้ เมื่อรัฐบาลพิจารณาเห็นสมควร หรือเมื่อรัฐสภาร้องขอตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เช่นกัน

สำหรับคำถามประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ควรต้องมีคือ ​​​คำถามแรก เห็นชอบว่าสมควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ (ครั้งที่ 1)

คำถามที่สอง เห็นชอบกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามรายละเอียดในรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 15 หรือไม่ (ครั้งที่ 2) ส่วนจะถามพร้อมกันหรือไม่เมื่อไหร่อย่างไรเป็นเรื่องที่รัฐบาลมีหน้าที่ตัดสินใจในเรื่องนี้

นายชูศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคเพื่อไทยขอยืนยันเจตนารมณ์เดิมว่า จะผลักดัน และเดินหน้าให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุด

ด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชนได้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ซึ่งประธานสภาได้บรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระของรัฐสภาแล้ว แต่ยังไม่ได้มีการพิจารณา

เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา พรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นต้องเสนอญัตติแก้ไขมาตรา 256 ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัย และเพื่อเปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พรรคเพื่อไทยยืนยันความตั้งใจที่จะร่วมมือกับทุกพรรคการเมือง ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เพื่อให้การแก้ไขมาตรา 256 เดินหน้าได้สำเร็จ ซึ่งเมื่อผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาในวาระ 3 แล้ว จะต้องจัดให้มีการทำประชามติตามขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีองค์กรใด ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภาหรือคณะรัฐมนตรี แสดงความประสงค์ริเริ่มในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยเรื่องนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐสภามีมติให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการ หรือคณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้ริเริ่มเอง

นายจาตุรนต์ กล่าวต่อว่า คำวินิจฉัยของศาลระบุว่า การทำประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 สามารถรวมเป็นครั้งเดียวได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองต่างๆ และรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ร่วมกันพิจารณาว่าจะทำอย่างไรเพื่อรวมการทำประชามติให้เหลือเพียงครั้งเดียว เพื่อลดระยะเวลาและงบประมาณ

ทั้งนี้ การจะทำให้เป็นไปได้ จำเป็นต้องหารือกันตั้งแต่การแก้ไขมาตรา 256 และกำหนดแนวทางร่วมกัน การหารือเพื่อหาข้อสรุปที่เป็นที่ยอมรับของรัฐสภาจึงเป็นเรื่องสำคัญ และจะต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงจังจากรัฐบาล เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดผลเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การแถลงข่าวเช่นนี้จะเป็นการวัดใจรัฐบาลว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ประชาชนต้องการ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า อย่าถือเป็นขนาดวัดใจเลย แต่เราบ่งบอกว่า การจะทำเรื่องนี้ได้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องไปคิด หลังจากที่เดิมก็ทราบดีว่าความคิดเรื่องนี้ไม่มี ขณะนี้ถ้าเป็นรัฐบาลก็ต้องไปคิดว่า จะทำประชามติเมื่อไหร่ และจะทำกี่ครั้งหรือทำสองครั้งพร้อมกันหรือไม่ และเมื่อไหร่ โดยเหตุผลที่ต้องไปคิดเพราะว่าการทำประชามติตามกฎหมายประชามติ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องมีมติคณะรัฐมนตรี โดยการเสนอของรัฐสภา โดยการเสนอของประชาชน หรือโดยที่ ครม. มีมติ และคำนึงระยะเวลา 90 วันเป็นต้น ฉะนั้นอันนี้ก็หมายความว่าเป็นเรื่องรัฐบาลต้องไปคิดตัดสินใจ จะไปโดดเดี่ยว หรือว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ได้

ส่วนของพรรคเพื่อไทยจะยื่นมาตรา 256 หมวด 15 เมื่อใดนั้น นายชูศักดิ์ ระบุว่า ก็จะพยายามทำให้เร็วที่สุด ที่อยู่ในสภาฯ อยู่แล้ว มันมันคงใช้ต่อไปไม่ได้ คาดว่าจะเป็นช่วงสัปดาห์หน้า แต่เราก็พยายามจะทำให้เร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า การระบุวิธีการในคำถามที่ 2 จะถามอย่างไร นายชูศักดิ์ กล่าวว่า วิธีการเหล่านี้เข้าใจว่ามันต้องอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่นำเสนอไป แล้วก็เอาร่างรูปแก้ไขเพิ่มเติมที่นำเสนอไปถามประชาชนว่า มีวิธีการหรือมีสาระสำคัญเป็นเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นก็ต้องดูว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่เสนอไปโดยพรรคการเมืองทั้งหลาย หรือรัฐบาลก็อาจจะเสนอก็ได้ว่า มีสาระสำคัญอย่างไร

ส่วนจะมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับการเลือก สสร. ด้วยหรือไม่นั้น นายชูศักดิ์ กล่าวว่า เป็นเนื้อหาที่จะปรากฏอยู่ในรายละเอียดของรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม โดยการได้มาซึ่ง สสร. ถ้าคำวินิจฉัยออกมาแบบนี้ ก็คล้ายๆ ว่าเลือกด้วยตรงไม่ได้ แต่ความคิดก็คือว่าอาจจะเลือกโดยอ้อมหรือเลือกโดยรัฐสภา และกรรมาธิการที่แต่งตั้งขึ้นโดยรัฐสภาหรือไม่ ก็อยู่ที่การตัดสินใจของพรรคการเมืองที่จะนำเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติม

Related Posts

Send this to a friend