‘จุลพันธ์’ เผย ‘กฤษฎีกา’ ชี้รัฐออก พ.ร.บ.กู้ 5 แสนล้านได้
‘จุลพันธ์’ เผย ‘กฤษฎีกา’ ชี้รัฐออก พ.ร.บ.กู้ 5 แสนล้านได้ ด้าน คกก.ดิจิทัลวอลเล็ต จ่อถกประเมินวิกฤต-ความคุ้มค่า ตาม กม.วินัยฯ ยินดี สว. จ้องซักฟอก ม.153 ยืนยันกระตุ้น ศก.ได้จริง ไม่ใช่สงเคราะห์คนบางกลุ่ม – ไม่มีเหตุเลื่อนจากกรอบ พ.ค. 67
วันนี้ (8 ม.ค. 67) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการ (รมช.) กระทรวงการคลัง (กค.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ณ อาคารรัฐสภา เกี่ยวกับกรณีสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นต่อการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงิน 5 แสนล้าน สำหรับดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า คำตอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา บอกว่า อยู่ในกรอบของกระทรวงการคลัง และรัฐบาล ที่จะดำเนินการออก พ.ร.บ. กู้เงินฯ ได้ โดยมีข้อสังเกตให้ปฏิบัติตามมาตรา 53 และมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ในเรื่องความคุ้มค่า คือให้ประเมินผลก่อนและหลังโครงการได้ว่าเป็นวิกฤตหรือไม่ ถือเป็นภาระหน้าที่ของกระทรวงการคลัง และของคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต จะดำเนินการให้ครบถ้วน ตลอดจนให้ฟังความเห็นให้รอบด้าน จึงจะต้องพิจารณากันต่อไป
จากนี้ นายจุลพันธ์ ชี้แจงว่า คณะกรรมการนโยบายฯ จึงจะเชิญทุกฝ่ายประชุม รวมถึงเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา นำเสนอต่อที่ประชุมให้ทุกคนทราบคำตอบของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อสรุปว่าความเห็นดังกล่าวมีความหมายเช่นไร และควรดำเนินการเช่นไรต่อ เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายฯ มีมติว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า เรื่องนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี อยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ก็ทำได้ แต่ไม่ว่าใครเสนอแนะมา โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งให้คำแนะนำทางด้านกฎหมายกับรัฐบาล ก็ต้องรับฟัง และขอให้เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายฯ ปรึกษาหารือกัน และเดินหน้าต่อไป
สำหรับกรอบเวลา นายจุลพันธ์ ยืนยันว่า เป้าหมายเดิมคือเดือนพฤษภาคม 2567 ยังไม่มีเหตุให้เลื่อนไปจากเป้าหมายเดิม จนกว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมไปจากนี้
กรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะนำดิจิทัลวอลเล็ต เป็นประเด็นในญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 นั้น นายจุลพันธ์ มองว่า เป็นสิทธิและอำนาจหน้าที่ของ สว. ซึ่งยินดี รัฐบาลมีหน้าที่ไปชี้แจง
แม้จะมีปัจจัยอย่างการขึ้นอัตราดอกเบี้ย นายจุลพันธ์ กล่าวว่า กลไกของดิจิทัลวอลเล็ต เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก มีผลแน่นอน ไม่ใช่สงเคราะห์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวม เพื่อให้สภาวการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย กลับไปสู่การเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ นี่คือจุดมุ่งหมายของรัฐบาล