POLITICS

‘ชูวิทย์’ ยัน รูปคู่ ‘เศรษฐา’ ตนถูกเชิญไปขอซื้อที่ดินจริง แต่ขายไม่ได้เพราะติดสัญญา

‘ชูวิทย์’ ยัน รูปคู่ ‘เศรษฐา’ ตนถูกเชิญไปขอซื้อที่ดินจริง แต่ขายไม่ได้เพราะติดสัญญา งัดแชทหลักฐานโชว์สื่อ ติง “โจมตีกลับแต่เรื่องส่วนตัว แต่ไม่ออกมาชี้แจงเรื่องผลประโยชน์ของชาติ ฟ้องกลับปิดปาก แต่ไม่กลัว” ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ปี 63- คำสั่งกรมที่ดิน ระบุชัด แบ่งโอนแบ่งขาย หนีภาษี มีความผิด

วันนี้ (7 ส.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำเอกสารหลักฐานมายื่นต่อสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าพนักงานที่ดินเขตพระนคร กรณีการปล่อยปละละเลยให้มีการหลีกเลี่ยงภาษีโอนซื้อขายที่ดิน เข้าข่ายความผิด ม.157

นายชูวิทย์ ได้อธิบาย หลังมีการพาดพิงถึงตนเองว่ามีข้อขัดแย้งกับนายเศรษฐา เพราะการที่ซื้อขายที่ดินที่ไม่ลงตัว นายชูวิทย์ยืนยันว่า ตนเองกับนายเศรษฐา พบกันจริง เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2565 โดยนายเศรษฐาเชิญตนเองไปพบที่ย่านอ่อนนุช แต่ยังไม่มีการทำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดินแต่อย่างใด เนื่องจากที่ดินของตนเองยังติดสัญญาการซื้อขายกับบริษัท ไรมอน แลนด์ ซึ่งตกลงซื้อขายกันในราคา 1,600 ล้านบาท โดย ไรมอน แลนด์ ได้มีการมีการจ่ายมัดจำมาแล้ว 400 ล้านบาท ยังคงเหลือค้างชำระอีก 1,200 ล้านบาท ซึ่งต้องชำระภายในเดือนธันวาคม 2565 ต่อมามาขอขยายสัญญา ตนก็คิดดอกเบี้ยตามกฎหมาย ตนเองทำธุรกรรมหรือซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากติดสัญญาดังกล่าวอยู่ มีหลักฐานชัดเจน

และในการพูดคุยกันในวันนั้น นายเศรษฐา ยังบอกกับตนเองว่าในชีวิตนี้ไม่เคยคิดที่จะเป็นนักการเมือง แต่สุดท้ายกลับยกตัวเองขึ้นมาเป็นเเคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย

นอกจากนั้น นายชูวิทย์ ได้โชว์หลักฐาน เป็นเเชทการสนทนากับนายเศรษฐา ในวันที่ 16 กันยายน ปี 2565 ซึ่งนายชูวิทย์ได้ส่งข้อความไปว่า “ผมเห็นว่าวันก่อน คุณค่อนข้างหงุดหงิด รักษาสุขภาพดีกว่าครับ อายุก็ห่างกับผมไม่มาก มีความสุขใจดีกว่า เงินก็มีเยอะอยู่แล้ว” จากนั้นก็ส่งข้อความไปอีกประโยค ว่า “รู้จักกันนานๆ มากๆ ดีกว่าครับ อนาคตคุณยังอีกไกล”

ทางด้านนายเศรษฐา ก็ส่งข้อความกลับมาว่า “ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นครับ ไม่ได้หงุดหงิดเลยครับ เป็นคนใจร้อน อยากให้ถึงเป้าหมาย มีเงินน้อยกว่าคุณชูวิทย์ มีรายจ่ายเยอะกว่าครับ”

นายชูวิทย์ กล่าวว่าหลังจากนั้นในเดือนธันวาคมปี 65 นายเศรษฐาได้ส่งกระเช้ามาให้เพื่ออวยพรปีใหม่ ตนเองจึงได้ส่งข้อความอวยพรกลับไปให้ ซึ่งจะเห็นว่าการพูดคุยและการพบเจอกันนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้มีปัญหาหรือเรื่องขุ่นข้องหมองใจใดๆ กัน ซึ่งตนพิพากษ์วิจารณ์นายเศรษฐาด้วยใจเป็นธรรม ในกรณีที่นายเศรษฐาจะเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงแม้นายเศรษฐาจะฟ้องร้องตน ก็ฟ้องไป

ส่วนกรณีที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายของนายเศรษฐาได้ไปยื่นฟ้องนายชูวิทย์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากการที่นายชูวิทย์แฉว่านายเศรษฐา เลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินผืนดังกล่าวนั้น นายชูวิทย์ มองว่า เป็นการจงใจขุดหลุมพรางของตนเอง ตั้งแต่การแถลงข่าวแฉครั้งที่แล้ว เนื่องจากตนยังมีหลักฐานเด็ด ที่ระบุว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าว ไม่ได้เป็นการวางแผนภาษีแต่เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์กว่า 521 ล้านบาท ซึ่งตนเองมีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงนามโดยอดีตอธิบดีกรมที่ดิน 2 คนในปี 2552 และ 2556 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ

หนังสือดังกล่าว ระบุว่า การซื้อขายที่ดินในลักษณะโฉนดแปลงเดียว ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายกันคนละฉบับ หรือเป็นการกระทำที่กระจายภาษี ซึ่งไม่สามารถทำได้ ซึ่งการซื้อขายที่ดินครั้งนี้ ผู้ซื้อคือ บมจ.แสนสิริ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการเสียภาษีโอนที่ดิน จึงตกลงกับผู้ขายในการแบ่งโอนเป็นรายย่อย 12 ราย เพื่อเลี่ยงการโอนในรูปแบบของคณะบุคคล ซึ่งจะมีการเสียภาษีที่สูงกว่า ดังนั้นจึงเห็นว่านายเศรษฐาไม่มีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นนายกฯ

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังเปิดคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษ 153/2563 ใจความว่า “…การที่ นาย ก. โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 8 แปลง ในวันทำการของทางราชการติดต่อกัน 4 วัน โดยไม่ปรากฎข้อห้าม ข้อจำกัด หรือพฤติกรรมพิเศษ ที่จะทำให้ไม่สามารถทำการโอนดังกล่าวได้ในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นการขาดเหตุผลตามปกติทางการค้า ทั้งเป็นการแจ้งชัดว่าโจทก์ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินและมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50(5)(ข) จากฐานภาษี ในการโอนที่ดินทั้ง 8 แปลง แต่กลับสมรู้กับนาย ก เพื่อทำให้มีการหักภาษีนำส่งไม่ครบถ้วนถูกต้อง

ทำให้นาย ก ได้รับประโยชน์ทางภาษีอากร โดยคำนวณภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายต่ำกว่าฐานภาษีที่แจ้งจริงถึงจำนวน … บาท ทำให้รัฐเสียหาย บริษัท ข จึงต้องร่วมรับผิดชอบกับนาย ก ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษี…” ซึ่งเป็นกรณีคล้ายกัน ศาลชี้แล้วว่ามีความผิด

ส่วนเรื่องที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงข่าวว่าปมเหตุของการที่ตนออกมาแฉ มาจากตกลงซื้อขายที่ดินของนายชูวิทย์ ไม่ลงตัวนั้น นายชูวิทย์ก็ยังยืนยันว่า ที่ดินของตนเองไม่สามารถซื้อขายกับใครได้ เนื่องจากติดสัญญากับบริษัท ไร มอน แลนด์

ส่วนกรณีนายพร้อมพงษ์ ที่ออกมาถามว่าสิ่งที่ตนออกมาเเฉ ต้องการตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ในสมัยที่ตนเองติดคุก นายพร้อมพงษ์อยู่ในห้องที่ 11 ซึ่งเวลานายพร้อมพงษ์เดินในคุก ก็จะมีคนเดินตาม คอยนวดให้ซ้ายขวา ตลอดเวลา แต่สิ่งที่ตนอยากบอกว่า นายพร้อมพงษ์ยังไม่เข็ดเหรอที่เคยไปติดคุก

ส่วนกรณีที่มีคนกล่าวหาว่าสิ่งที่ตนออกมาแฉนั้นเพื่อจะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือไม่ ตนเองไม่ได้มีปัญหากับพรรคเพื่อไทย เพราะแคนดิเดตนายก ยังมีอีก 2 คน นั่นคือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และ นายชัยเกษม นิติศิริ ดังนั้นสิ่งที่ถูกกล่าวหาจึงไม่เป็นความจริง อีกทั้งสิ่งที่ตนออกมาแฉทั้งหมดก็มีพยานหลักฐาน มีลายลักษณ์อักษร

“หากคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี มีเล่ห์เหลี่ยมทางการค้า ออกอุบายหลีกเลี่ยงภาษี ผมรับไม่ได้ เพราะสิ่งที่กระทำนั้นไม่ใช่เป็นการวางแผนภาษี แต่เป็นการวางแผนโกงภาษี ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย 521 ล้านบาท ดังนั้นจึงมองว่า นายเศรษฐา ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในการเป็นนายกรัฐมนตรี”

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังทิ้งท้ายอีกว่า ตนพร้อมแฉต่อไป ขอเรียกตัวเองเป็นนักแฉแห่งชาติ ได้แฉจนสะเทือนถึงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีก่อนจะจากโลกนี้ไป ติงเพื่อไทย-เศรษฐา นำแต่เรื่องส่วนตัวนายชูวิทย์ ออกมาโจมตีกลับ แต่ไม่ชี้แจงเรื่องผลประโยชน์ของชาติที่หลบเลี่ยงภาษี ยืนยันไม่กลัวเพราะมีหลักฐานแน่น พูดเพื่อรักษาผลประโยชน์ประเทศชาติ อยากมีนายกรัฐมนตรีที่ซื่อสัตย์ สุจริต

Related Posts

Send this to a friend