‘ศรีสุวรรณ’ ร้อง ป.ป.ช.ไต่สวน ประยุทธ์ และ ครม.ออก พ.ร.ก.เลื่อนใช้ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ขัด รธน.

‘ศรีสุวรรณ’ ร้อง ป.ป.ช. ไต่สวน ‘ประยุทธ์’ – ‘สมศักดิ์’ พร้อมคณะรัฐมนตรี ออก พ.ร.ก.เลื่อนบังคับใช้ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ขัดรัฐธรรมนูญ ส่อผิดจริยธรรมร้ายแรง ยืนยันทำตามหน้าที่ร้องทั้ง 2 ฝ่าย เป็นนักเลงตัวจริง เหน็บ คนแซะในโซเชียล เป็นนักเลงกระจอก
วันนี้ (6 มิ.ย. 66) เวลา 10:00 น. ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมามาร้องต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการไต่สวนเอาผิดรัฐบาล นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี กรณีออก พ.ร.ก.เลื่อนบังคับใช้ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ อาจเข้าข่ายการฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมีนายพิศิษฐ์ พัฒนกิจจำรูญ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ เป็นตัวแทนมารับหนังสือ
นายศรีสุวรรณ เปิดเผยว่าสืบเนื่องจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา กรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าชื่อเสนอต่อประธานสภาต่อมายังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย การที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล ออกพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อเลื่อนการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ จากวันที่ 22 ก.พ. 66 เป็นวันที่ 1 ต.ค. 66 โดยอ้างว่ามีความจำเป็นที่จะกระทำได้ ตามมาตรา 172 วรรคแรกของรัฐธรรมนูญ
แต่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชัดเจนแล้วว่า ไม่สามารถทำได้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และถูกตีตกลงไปทำให้กฎหมายดังกล่าวต้องบังคับใช้ทันทีตั้งแต่ 22 ก.พ. 66 ที่ผ่านมา ซึ่งการที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เสนอเรื่องเข้า ครม. เพื่อขอความเห็นชอบ และอนุมัติ ให้เสนอ พ.ร.ก.เลื่อนบังคับใช้ออกมา จะต้องมีการแสดงความรับผิดชอบต่อคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะคนที่เกิดการการสูญเสียจากการการสูญหายของบุคคลอันเป็นที่รักของตนเองไป
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่ออีกด้วยว่าการที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.มาเลื่อนบังคับใช้กฎหมายนั้น นอกจากจะไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคแรกแล้ว รัฐธรรมนูญมาตรา 53 ก็ระบุไว้ชัดเจนว่ารัฐบาลมีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด การที่รัฐบาลใช้อำนาจโดยพลการ เลื่อนการบังคับใช้กฎหมายที่มีความสำคัญเหล่านี้ ก็ถือว่าเป็นการเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจที่จะละเลยละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือการปฏิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดผลกระทบ ซึ่งจะเป็นความผิดเกี่ยวกับจริยธรรมร้ายแรง
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงรวบรวมหลักฐานทั้งหมดมายื่นต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการไต่สวน และเอาผิดนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ผู้เริ่มก่อการ และคณะรัฐมนตรีที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนรู้สึกไม่คุ้นกับการที่นายศรีสุวรรณมาร้อง พล.อ.ประยุทธ์ นายศรีสุวรรณ ระบุว่า หากติดตามการทำงานของตนเอง จะเห็นว่าตนเองก็ร้องทั้ง 2 ฝ่าย ก่อนหน้าก็เคยร้องเกี่ยวกับ พล.อ.ประยุทธ์ ปมวาระ 8 ปี รวมถึงพรรครวมไทยสร้างชาติของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เคยร้องเรื่องการดึงสถาบันฯ มาหาเสียง ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และข้อกฎหมาย พร้อมซัดหมดถ้าใครทำมิชอบ หรือทำผิดกฎหมาย
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่ออีกว่า แน่นอนเมื่อตนเองมาร้องฝ่ายรัฐบาล คนที่สนับสนุนฝ่ายตรงข้ามก็ร้องไชโย แต่พอไปร้องอีกฝ่าย ก็จะถูกตำหนิติเตียน มาถล่มในเฟซบุ๊ก แต่เราก็ไม่ได้อะไร เพราะคือการทำหน้าที่ของเรา
“นักเลงที่แท้จริงต้องมาทำอย่างผม นักเลงที่ไม่แท้จริง หรือนักเลงกระจอกก็จะนั่งอยู่หน้าคอมฯ โพสต์ความเห็น แสดงความเห็น แซะคนอื่นไปเรื่อยๆ อย่างนั้นไม่เรียกนักเลง เขาเรียกพวกกระจอกมากกว่า” นายศรีสุวรรณกล่าว
เมื่อถามถึงการระวังความปลอดภัย นายศรีสุวรรณ ระบุว่า ก็ระมัดระวังมากขึ้น เพราะมีบทเรียน แต่คนจ้องกับคนทำหน้าที่มันต่างกัน อย่างไรก็ตามเราคิดว่า ผู้ใดกระทำการอย่างไรกฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย ถึงจะถูกทำร้ายร่างกายก็ใช้สิทธิตามกฎหมาย ใครไม่ชอบหน้าตนก็ใช้สิทธิฟ้องร้องได้ การใช้กำลังไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตย แต่เป็นวิถีทางของพวกเผด็จการ จอมโจร หรือพวกไม่รับวัฒนธรรมความเจริญของประเทศชาติ
เมื่อถามต่อว่าการมาร้องนายสมศักดิ์ เพราะไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยใช่หรือไม่ นายศรีสุวรรณ ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกัน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนจะมาร้องเรียนอยู่แล้ว หลังจากเสร็จเรื่องการเลือกตั้ง ก็ทำไปตามครรลองของกฎหมาย
สำหรับกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ไปยื่นต่อ กกต. กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขายหุ้นบริษัท ITV 42,000 หุ้นนั้น นายศรีสุวรรณ มองว่า ใครมีข้อมูลอะไรก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป หากตนมีข้อมูลก็จะไปเสนอ กกต. ส่วนคำวินิจฉัยขึ้นอยู่กับความเห็นของ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเรื่องนี้มีลักษณะใกล้เคียงกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกันเหตุก็เกิดขึ้นในขณะที่มีการเลือกตั้ง และระหว่างการรับรอง ส.ส. ก็ต้องว่ากันไปตามความเป็นจริง ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไร ตนคิดว่าประชาชนในฐานะผู้ชมก็ควรจะรับฟัง และตัดสินใจกันเอาเอง