POLITICS

‘ปกรณ์วุฒิ’ แฉ โดนรุมกินโต๊ะ วงแบ่ง กมธ. สภาฯ

‘ปกรณ์วุฒิ’ แฉ โดนรุมกินโต๊ะ วงแบ่ง กมธ. สภาฯ เตะให้ได้ประธาน ในกรรมาธิการที่ไม่มีพรรคไหนเลือก ทำ ‘ชนะเลือกตั้ง’ ไร้ความหมาย เปลี่ยนวิธีเลือกจากปี 62 ถามจะไม่ให้ตรวจสอบเลยหรือ ยันไม่ยื้อรอเลือกตั้งซ่อมระยอง

วันนี้ (5 ก.ย. 66) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประธานวิป สส.พรรคก้าวไกล เปิดเผยความคืบหน้าการเจรจาเก้าอี้ประธานคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ว่า ในปี 2562 มีกติกาคือ พรรคที่ได้เสียงมาเป็นอันดับแรก ก็จะเลือกเก้าอี้ประธาน กมธ.กันไปก่อน ก็จะวนกัน ก็หมายความว่า พรรคใหญ่ก็จะได้เปรียบในการในการเลือกก่อน สุดท้ายทุกคนก็ไม่ได้ทุกอย่าง และไม่ได้เสียทุกอย่าง เหมือนหยิบไพ่เข้าไปอยู่ในมือ แล้วก็มาเจรจาแลกกันเอง และทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น

แต่พอมาครั้งนี้ มีการเสนอกับพรรคร่วมรัฐบาลว่า ให้แต่ละพรรคเลือกมาก่อน หากอันไหนที่ซ้ำกันค่อยมาตกลงเจรจา ซึ่งพรรครัฐบาลย่อมต้องการจะเป็นประธาน กมธ.ที่เกี่ยวเนื่องกับที่เป็นเจ้ากระทรวง ทำให้พรรคร่วมรัฐบาล มีการเลือก กมธ.ซ้ำกันแทบเป็นศูนย์ และทำให้ทุกพรรคตกลงกันได้หมด ซึ่งธรรมชาติของฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล ต้องมีการเลือกซ้ำกัน เนื่องจากพรรคใหญ่ของฝ่ายค้านคือ พรรคก้าวไกล ก็จะซ้ำเยอะที่สุด เพราะฉะนั้นการโยนมาว่า ปัญหาคือพรรคก้าวไกลไปเลือกซ้ำกับคนอื่น แบบนี้ไม่แฟร์กับพรรคก้าวไกลเท่าไหร่ แล้วจะบอกว่า เราไม่ถอย ก็ต้องถามกลับว่า “แล้วคุณไม่ถอยในคณะ กมธ.ที่คุณเป็นเจ้ากระทรวงเพื่อให้เราตรวจสอบบ้างเลยหรือ”

ผู้สื่อข่าวสอบถามเพิ่มเติมว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกลดูเหมือนถูกรุมกินโต๊ะหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ ระบุว่า บรรยากาศเป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว พอพรรคร่วมรัฐบาลเห็นพ้องต้องกันหมด แล้วให้เราไปตกลงด้วย ในข้อตกลงที่ไม่สามารถยอมรับได้ เนื่องจากมีการเลือกซ้ำประมาณ 6-7 คณะ แล้วพอซ้ำขนาดนี้ ก็จะมี 6-7 คณะที่ไม่มีใครเลือกเลย ซึ่งความพยายามตอนนี้คือ พยายามให้ก้าวไกลยอม แล้วเอา 6-7 คณะที่ไม่มีใครเลือกเลยไปเป็นประธาน

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า แนวคิดของพรรคก้าวไกล คณะที่ควรเป็นของฝ่ายค้าน ได้แก่ กมธ.ตรวจสอบงบฯ และกมธ.ป.ป.ช. ถือเป็นความสง่างามของรัฐสภา ในการถ่วงดุลอำนาจในการตรวจสอบ ว่า การใช้งบประมาณ และการปราบปรามการทุจริต จะต้องเป็นหน้าที่ฝ่ายค้าน ที่ฝ่ายรัฐบาลเปิดโอกาสให้ตรวจสอบ แต่ก็กลับตกลงกันไม่ได้

ขณะเดียวกันพรรคก้าวไกลยังมีนโยบายที่ต้องการผลักดันผ่าน กมธ. เช่น กมธ.แรงงาน, กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ และกมธ.ที่ดิน ที่เราเคยเป็นประธาน ก็อยากจะผลักดันนโยบายต่อเนื่อง ก็มีติดขัดซ้ำกัน นอกจากนี้ยังมองคนของพรรค มีศักยภาพในการนั่งประธานกระทรวงใดบ้าง หากจะโยนอันที่ไม่มีใครเลือกมาให้ ก็อาจจะไม่มีคนศักยภาพพอในประเด็นนั้น และต้องรับ กมธ.นั้นมาแทน ทำให้กลไกการตรวจสอบอ่อนแอ

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคก้าวไกลได้มีการหารือกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ ตอบว่า ก็มีการหารือกัน แต่พรรคประชาธิปัตย์มีเพียง 2 ที่นั่ง พอน้อย ก็เหมือนจะเจรจากันได้ ก็ไปเอาคณะอื่นแทน พอไม่ใช่ปัญหาที่เขาเจอก็ไม่รู้จะช่วยพรรคก้าวไกลอย่างไร สุดท้ายมีเพียงแค่ 2 คณะ โอกาสในการมาช่วย หรือขอให้พรรคก้าวไกล ก็ไม่ได้มีสิทธิมีเสียงมากนัก

นายปกรณ์วุฒิ ยังกล่าวย้ำว่า การที่จะมาตั้งประเด็นว่า พรรคก้าวไกลมีปัญหา ซึ่งตอนนี้การพูดคุยกับพรรครัฐบาล มี 3 หลักที่ถูกหยิบยกขึ้นมา ก็คือ ข้อบังคับ ข้อกฎหมาย ธรรมเนียมปฏิบัติ และการพูดคุยเจรจา ซึ่งอันไหนหากพรรครัฐบาลได้เปรียบ ก็จะเลือกหลักนั้นขึ้นมา

“พอพรรคก้าวไกลเสนอไป ก็จะพูดว่า ธรรมเนียมปฏิบัติไม่เคยทำแบบนี้ พอเสนอธรรมเนียมปฏิบัติก็บอกว่า เป็นการเจรจาตกลงกัน เหมือนทุกทางที่ได้เปรียบก็จะหยิบยกขึ้นมา และพรรคก้าวไกลก็จะเป็นพรรคเดียวที่ไม่ไปตาม เป็นการรุมกินโต๊ะกันเยอะไป” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวต่อว่า การที่จะให้พรรคก้าวไกลไปคุยทีละพรรคที่ซ้ำ ที่มีอยู่ 3-4 พรรค ก็ตั้งคำถามว่า หากใช้วิธีการพูดคุยเจรจาเป็นหลัก คณะที่ไม่ซ้ำกันเลยก็เอาไปเลย อันที่ซ้ำไปคุยแล้ว แล้วถ้าหาก ทั้ง 3-4 พรรคนั้น ไม่ถอยให้พรรคก้าวไกล เรื่องจะจบอย่างไร และถ้าหากถึงตอนนั้น แล้วพรรคก้าวไกลไม่ยอม จะกลายเป็นคนดื้อหรือไม่ หรือจริงๆแล้ว 3-4 พรรคนั้น ไม่ถอยให้พรรคก้าวไกลสักก้าวหนึ่งเลย

ส่วนคณะ กมธ.ที่เลือกซ้ำกันในตอนนี้ นายปกรณ์วุฒิ เผยว่า คือ กมธ.ที่ดิน, กมธ.แรงงาน และลงตัวเรื่อง กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ และกมธ.ติดตามงบประมาณ แล้ว แต่ยังติดปัญหาการเจรจาคือ กมธ.ป.ป.ช. ส่วนที่เหลือไม่ได้เจาะจง แต่ไม่ได้รับความยืดหยุ่นกลับมาเลยแม้แต่สักนิดเดียว

ผู้สื่อข่าว The Reporters สอบถามว่าการที่พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง แต่เมื่อเจอกติกาการเลือก กมธ.แบบนี้ เหมือนจะไม่มีประโยชน์หรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้มีการตั้งธงว่า จะใช้กติกาแบบปี 2562 เนื่องจากยุติธรรมกับทุกพรรคมากที่สุด และพรรคใหญ่ก็จะได้เปรียบในฐานะศักดิ์ศรีผู้ที่ชนะเลือกตั้งมาก่อน แต่เมื่อตกลงไม่ได้และเจรจาไม่ได้ ก็เห็นว่า ควรจะต้องกลับไปที่กติกาเดิม แต่ก็กลับมีการเสนอในที่ประชุมว่า ให้จับสลาก ผลก็จะเหมือนเดิมคือ พรรคก้าวไกลก็จะได้ กมธ.ที่ไม่มีใครเลือก ซึ่งขณะนี้มีการตั้งธง เพื่อให้ผลเป็นแบบที่ต้องการ

“ทุกพรรคเคยร่วมงานกับพรรคก้าวไกลใน กมธ. และในสภาแล้ว เชื่อว่า ทุกพรรครู้ดีว่า พรรคก้าวไกลประนีประนอมในการร่วมงานในสภามากแค่ไหน แล้วมีบางคนบอกว่า ประธานไม่ต้องเอาหรอก เอารอง 1 ไป จึงขอย้อนถามว่า หากประธานไม่ได้สำคัญ แล้วจะมามีปัญหากับพรรคก้าวไกลทำไม แต่ท่านก็มองว่า ประธานสำคัญมาก ก็ไม่ยอมปล่อยเช่นกัน ถ้าไม่สำคัญแล้วทะเลาะกันทำไม ทุกคนรู้ดีว่าสำคัญแค่ไหน ถึงตกลงกันไม่ได้ ทุกท่านทราบดี ไม่เช่นนั้นคงไม่มีธงมาตั้งแต่ต้น ทุกกระทรวงที่ผมนั่ง ผมจะต้องได้ กมธ. และไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ถ้าไม่ได้สำคัญแบบนั้น คงไม่มีธงแบบนี้มาหรอก” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่าพรรคเพื่อไทยยังยืนยันจะต้องนั่ง กมธ.ป.ป.ช. แต่ส่วนตัวก็ยังยืนยันเหมือนเดิมว่า 2 กมธ.นี้ เป็น 2 กมธ.หลักที่ควรจะต้องเป็นของฝ่ายค้าน และก็ปฏิบัติเช่นนั้นมา จะเป็นภาพที่สง่างาม ในการทำงานของสภาที่จะยืนยันว่า กลไกหลักของสภาคือ กมธ. สามารถทำงานตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้เต็มที่ ซึ่งถ้าหากนำพรรคแกนนำรัฐบาลมานั่ง กมธ.ป.ช.ช. ภาพก็ไม่สวยงามแล้ว เนื่องจากเป็นการตรวจสอบกันเอง

ส่วนประเด็น หากไม่มีข้อสรุปเก้าอี้ กมธ.ภายในสัปดาห์นี้ การเลือกตั้งซ่อม สส.ระยอง จะมีผลทำให้พรรคก้าวไกล ได้เปรียบมากขึ้นหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ไม่ได้มองเรื่องนั้นเป็นหลัก ต้องการให้ตั้งเร็ว เพื่อจะได้ทำงาน ไม่ว่าจะ 10 หรือ 11 คณะ ก็ยอมโอนอ่อน ผ่อนตามได้ ตกลงเจรจาแบบไหนพูดคุยได้ ไม่ได้ดื้อดึง แต่ถ้ายื้อกันไปแล้วไม่ยอมตั้ง แน่นอนว่า เมื่อมีการรับรองผลการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดระยอง จะต้องคำนวนใหม่ และพรรคก้าวไกล ก็จะได้ 11 คณะ โดยพรรคที่เสียผลประโยชน์ก็จะเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มี กมธ.ใด ซ้ำกับพรรครวมไทยสร้างชาติ

Related Posts

Send this to a friend