ชยพล-เอกราช ชี้ ‘สุทิน’ ยกโครงการสร้างสนามบินให้ ทร.ดูแล หวั่นแบงก์ไม่อนุมัติเงินกู้
ชยพล-เอกราช ชี้ ‘สุทิน’ฟังทหารมากเกินไป ยกโครงการสร้างสนามบินอู่ตะเภาให้กองทัพเรือดูแล หวั่นแบงก์ต่างชาติไม่อนุมัติเงินกู้
วันนี้ (5 ม.ค. 67) นายชยพล สท้อนดี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกกรรมาธิการทหาร และความมั่นคงของรัฐ พร้อม นายเอกราช อุดมอำนวย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล แถลงข่าวกับสื่อมวลชน ณ อาคารรัฐสภา หลังจากที่นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ของกระทรวงกลาโหม ถูกฝ่ายค้านตั้งคำถามต่อการจัดการงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ที่ย้อนแย้งกับคำแถลงของนโยบายรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่จะปรับลดขนาดกองทัพ
นายชยพลกล่าวว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมได้น้อยอยู่แล้วเมื่อเทียบกับงบประมาณของกระทรวงอื่น โดยแท้จริงแล้วหากบวกกับงบที่มีไว้สำหรับจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ถือว่ายังเป็นงบที่สูงมาก อีกทั้งการที่กระทรวงกลาโหมถูกตัดงบออก แสดงว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตั้งใจของบประมาณสูงเกินจริงใช่หรือไม่ จึงทำให้ถูกสำนักงบประมาณตัดงบกลับออกมา แสดงให้เห็นว่านายสุทินไม่ได้มีความตั้งใจที่จะลดงบประมาณกระทรวงกลาโหมโดยแท้จริงตั้งแต่ต้น แต่ที่ได้งบประมาณน้อย เพราะถูกสำนักงบประมาณตัด
ส่วนกรณีเรื่องจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น ในสัญญาระบุไว้ชัดอยู่แล้ว ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งขณะนั้นเกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งตามสัญญาระบุว่าทั้งสองประเทศสามารถหาทางออกร่วมกันได้ ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญา แต่การที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาชี้ว่า ประเทศไทยผิดสัญญากับประเทศจีนนั้น ถือว่าเป็นการตั้งธงทางความคิดทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ซึ่งจะมีผลต่อการเจรจาเรื่องการผิดสัญญากับจีนในอนาคต
ด้านเอกราช อุดมอำนวย ยืนยันการแถลงครั้งนี้ไม่ใช่การตอบโต้แบบปิงปองทางการเมือง แต่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อ้างว่าปฏิบัติหน้าที่ 3 เดือน ไม่สามารถจัดการงบในปี 67 ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าการคาดการณ์งบประมาณในปีต่อ ๆ ไปจะจัดการไม่ได้ แต่ในการคาดการณ์กลับมีงบประมาณที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแสดงว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมละเลยไม่ดูแลรายละเอียดงบประมาณ ถ้ามีการจัดลดงบประมาณที่คาดการณ์หรือพยากรณ์ไปข้างหน้าควรจะอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมและเป็นไปตามทิศทางที่ได้แถลงไว้
พร้อมชี้ถึงโครงการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภาที่มีการปรับมติคณะรัฐมนตรี ที่จากเดิมโครงการอยู่ในความดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ถูกย้ายไปอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือแทน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมฟังทหารมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาให้เงินกู้จากธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเอเชีย Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB) จึงอยากขอเรียกให้ทบทวนนำโครงการสร้างสนามบินอู่ตะเภา อยู่ในความรับผิดชอบ สกพอ. มากกว่า กองทัพเรือ
“ยืนยันว่าถ้ากองทัพเรือยังเป็นผู้ดำเนินการ ทางธนาคาร AIIB ก็อาจจะไม่อนุมัติเงินกู้ สุดท้ายก็จะเป็นภาระงบประมาณของประเทศไทยในปีต่อ ๆ ไป ฉะนั้นอยากย้ำให้นายสุทินทบทวนในการดูแล และรับผิดชอบโครงการมองว่าควรให้ สกพอ. เป็นผู้รับผิดชอบมากกว่า ทร.”