POLITICS

นายกฯ ยัน รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่อง FTA

นายกฯ ยัน รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่อง FTA เผย ไทยมีจุดยืนเป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้งในเวทีโลก เน้นเจรจาทางการทูต เน้น ดึงดูดนักลงทุน ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน

วันนี้ (3 ม.ค. 67) ที่อาคารรัฐสภา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลุกขึ้นชี้แจงในการประชุมร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2567 กรณี FTA หรือสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ใน EU หรือประเทศอังกฤษ แต่เราจะทำมากขึ้น เรามีการตั้งงบประมาณเผื่อไว้แล้ว และเราเข้าใจว่าหลายบริษัททั่วโลกมีประเด็นสำคัญที่จะมาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย เรื่อง FTA เป็นเรื่องสำคัญ ถือเป็นเรื่องที่เราล้าหลังประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่าเราตระหนักดี หากเราไม่เร่งทำ หรือเจรจา เขาก็มีสิทธิ์ย้ายฐานผลิต ไม่ใช่แค่เรื่องค่าแรง แต่เรามีความคืบหน้าน้อยมากในการเจรจาเรื่องนี้ ย้ำว่า เรามีแผนงานที่ชัดเจน และจะพยายามทำให้ได้โดยเร็วที่สุด

ส่วนเรื่องจุดยืนของประเทศไทยในเวทีโลกนั้น นายเศรษฐาระบุว่า ปัจจุบันนี้มีความเปราะบางสูง เรามีความเป็นกลาง เราภูมิใจในเอกราชของประเทศไทย หลายเรื่องที่มีปัญหาเกิดขึ้นอย่างความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาส การที่เราเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกทำร้าย แต่เราก็ใช้การพูด การเจรจาที่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย โดยมีจุดยืนเป็นกลาง อาศัยความสัมพันธ์ที่ดีทางการทูตทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย ตนเองได้พบปะกันในหลายเวที มีความสนิทสนมกันเป็นการส่วนตัว เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ก็ไปรับประทานอาหารร่วมกันมา และได้ขอร้องให้ดูแลตัวประกันอีก 8 คน ที่ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวออกมาจากกลุ่มฮามาส เน้นย้ำว่า เมื่อไหร่ที่มีการหยุดยิงเราจะรีบเจรจา และขอความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ของเราทุกคน

นายเศรษฐากล่าวต่ออีกด้วยว่า การเดินทางไปต่างประเทศของตนเอง เป็นที่ประจักษ์ว่าเราพยายามอย่างเต็มที่ในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยให้เป็นอุตสาหกรรม High Profit มีการยกระดับรายได้ของคนไทยทุกคน เราทำอย่างต่อเนื่อง หลายกรณีที่ประสบความสำเร็จ แต่ยังมีความเปราะบาง และความเสี่ยงอยู่ จึงต้องติดตามงานอย่างใกล้ชิด เพราะเราไม่ได้แข่งขันกับตัวเอง แต่แข่งขันกับเพื่อนบ้าน ที่แต่ละคนพยายามเสนอสิ่งดีๆ ให้กับประเทศเขา

นายเศรษฐาระบุว่า ประเทศไทยไม่ได้มีแค่นโยบายด้านการภาษี แต่ยังมีเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่า มีโรงเรียนนานาชาติที่เหนือกว่า มีระบบสาธารณสุขที่เป็นสากล การที่นักลงทุนต่างประเทศ จะมาอยู่ประเทศไทย เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น รัฐบาลนี้จะเดินหน้าต่อไป มุ่งมั่นให้บริษัทข้ามชาติที่มีศักยภาพ เข้ามายกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนทุกคนอย่างต่อเนื่อง

นายเศรษฐา ระบุต่อไปว่าในเรื่องทุนมนุษย์ที่มีการพูดถึงนั้น ในระหว่างการเจรจากับหลายประเทศ จะไม่ได้นำแค่เม็ดเงิน หรือฐานผลิตเข้ามาในประเทศไทย แต่จะให้มาสร้าง Trading Center ด้วย สร้างทักษะพิเศษที่ประชาชนของประเทศเรา อาจจะยังขาดอยู่บ้าง เพื่อให้คนของเราพัฒนา และสามารถทำงานในอุตสาหกรรมที่มีรายได้ดี ทำให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น

เรื่องความขัดแย้งของประเทศเมียนมา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เมียนมาเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีประชากรใกล้เคียงกับเรา ประมาณ 70 ล้านคน มีเขตชายแดนติดต่อกันกว่า 2,000 กิโลเมตร จึงเป็นเพื่อนบ้านที่มีความสำคัญอย่างยิ่งกับประเทศไทย ปัจจุบันนี้เขาประสบปัญหา ซึ่งทางนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปพูดคุยกับตัวแทนจากเมียนมา และตกลงด้วยความเห็นชอบจากสมาชิกในประเทศอาเซียน ตั้งคณะกรรมการด้านสิทธิมนุษยชน (Humanitarian Assistance) เพื่อดูแลผู้ที่เปราะบางให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี โดยที่ประเทศไทยเป็นผู้นำในการเจรจาด้านนี้ เรื่องนี้มีนัยยะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าชายแดน การเจรจาให้ PM 2.5 ลดลง การค้ายาเสพติด จะต้องมีการเจรจาควบคู่กันไปด้วย

ส่วนในเรื่องพื้นที่ทับซ้อน นายกรัฐมนตรี ระบุว่าเราเจรจาอยู่อย่างต่อเนื่องกับประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่เรามีความสัมพันธ์ที่ดี ย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญ ซึ่งในวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ นายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาจะมาเยือนประเทศไทย ก็จะหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเริ่มต้นพูดคุย เพราะเรานั่งอยู่บนขุมทรัพย์ที่มีมูลค่าหลายล้านล้าน เราควรที่จะมีการพูดคุยกัน แล้วตกลงกันได้ เพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมีรายจ่ายที่ลดลง

Related Posts

Send this to a friend