‘ชลน่าน’ เปิดญัตติด่วนสภาฯ ช่วย ‘ตะวัน-แบม’ มอง 2 ใน 3 ข้อเรียกร้อง ทำได้ทันที
‘ชลน่าน’ เปิดญัตติด่วนสภาฯ ช่วย ‘ตะวัน-แบม’ มอง 2 ใน 3 ข้อเรียกร้อง ทำได้ทันที จี้ รมว.ยธ. ออกมาตรการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม วอนศาลเมตตาใช้ดุลพินิจถอดกำไลอีเอ็ม
วันนี้ (1 ก.พ. 66) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 25 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) พรรคร่วมฝ่ายค้าน เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาผู้แทนราษฎรร่วมกันพิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการการบังคับใช้กฎหมายที่ล้นเกินและขัดต่อหลักนิติธรรม ต่อผู้ต้องขังและผู้เห็นต่างทางการเมือง และให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบมาตรการให้รัฐบาลไปพิจารณาดำเนินการ
ภายหลังจาก นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานการประชุม ใช้อำนาจตามข้อบังคับเลื่อนญัตติขึ้นมาแล้ว นพ.ชลน่าน จึงลุกขึ้นอภิปรายเปิดญัตติ โดยมี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมรับฟังญัตติ
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า อยากให้สภาผู้แทนราษฎร หามาตรการและแนวทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายจนละเมดสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้เห็นต่างทางการเมืองในขณะนี้ จนมีการประท้วงด้วยการอดอาหาร ซึ่งเหตุการณ์นั้นยังปรากฏอยู่ โดยมีข้อเท็จจริงว่า เยาวชน 2 คนคือ น้องตะวัน (นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์) และน้องแบม (นางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์) ที่ถูกคุมขังอยู่ ใช้ชีวิตและร่างกายของตัวเองต่อสู้เรียกร้องขอความเป็นธรรมด้วยการอดอาหาร มาเป็นเวลา 12 วันนับถึงวันนี้
“น้องทั้งสองจำเป็นต้องใช้ชีวิตของตัวเอง เป็นข้อเรียกร้อง ข้อแลกเปลี่ยน ผู้ที่เห็นด้วยในการต่อสู้เรียกร้อง แม้ไม่เห็นด้วยในวิธีการที่ใช้ชีวิตตัวเอง ก็ไปร่วมยืนหยุดขังเพื่อเสนอไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้รับพิจารณา” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เน้นย้ำข้อเรียกร้อง 3 ข้อของตะวันและแบมอีกครั้ง
1.การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยเวลาและการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์ แต่ไม่เกินอำนาจของคณะรัฐมนตรี นพ.ชลน่าน เสนอว่า ข้อนี้สามารถเริ่มต้นโดยผู้มีอำนาจตอบรับ หามาตรการรองรับ เปิดเวทีรับฟังความเห็น เพื่อส่งสัญญาณบอกน้องทั้งสองได้ว่าข้อที่หนึ่ง “การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม” ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
2.ขอให้ยุติดำเนินคดีกับประชาชนผู้ใช้สิทธิเสรีภาพ การชุมนุม และการแสดงออกทางการเมือง ขอให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังทางการเมือง คือสิทธิการประกันตัว จำกัดเสรีภาพเกินขอบเขตที่มนุษย์จะรับได้
“ติดกำไล EM จำกัดพื้นที่ 24 ชั่วโมง คนนะครับ ท่านประธานครับ ไม่ใช่สัตว์ แม้แต่สุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้ ท่านมัดคอและล่ามโซ่ไว้ตลอดเวลา มันต้องแยกเขี้ยว มันต้องเห่า และสำคัญมันต้องกัดเจ้าของมัน เพราะฉะนั้น สิทธิตรงนี้มันทำเกินเหตุ การประกันตนภายใต้เงื่อนไขอย่างนี้ ฝากท่านประธานกราบเรียนไปท่านรัฐมนตรี แม้ไม่ใช่หน้าที่ท่านในกระบวนการยุติธรรม แต่ด้วยความเคารพ ขอให้ผู้มีอำนาจ ผู้พิพากษา ศาลใช้ดุลพินิจอันชอบธรรม ต้องนำไปพิจารณา”
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวว่า องค์ประมุขของประเทศยังพระราชทานพระราชดำรัสต่อคณะผู้พิพากษาคราวถวายสัตย์ทุกครั้งว่า การใช้ดุลพินิจต้องเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เป็นไปตามมนุษยธรรม และมีความเมตตา
“ต้องถอดกำไล EM ให้ได้ ทำได้ทันที และเชื่อมั่นว่าถ้าทำเรื่องนี้ น้องทั้งสองพอใจ”
3.ขอให้พรรคการเมืองประกาศนโยบายเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะคดีการเมืองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116
นพ.ชลน่าน มองว่า ในเรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ใช้ดุลพินิจดูรายละเอียดว่าตอบสนองข้อเรียกร้องในเรื่องนี้ได้อย่างไร แน่นอนว่าความเห็นแต่ละพรรคแต่ละฝ่ายย่อมแตกต่างกัน เพราะเรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีข้อเห็นต่างอย่างแหลมคมและละเอียดอ่อนมากในสังคมไทย การที่พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งจะรับไปแก้ไข มันประกาศได้ แต่จะแก้ไขได้หรือไม่ จะยกเลิกได้หรือไม่ มันไม่ใช่อำนาจพรรคการเมือง แต่เป็นอำนาจของรัฐสภาแห่งนี้ โดยรวมแล้ว การใช้ดุลพินิจก็ดี การใช้กฎหมายที่มากเกินไปก็ดี ไปจำกัดเสรีภาพก็ดี ล้าสมัยไม่พัฒนาก็ดีนั้น สามารถใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ปรับแก้ไขได้
นพ.ชลน่าน อภิปรายต่อไปว่า มาตรา 112 เป็นประมวลกฎหมายอาญาก็จริง แต่เขาถือว่าอยู่ในหมวดความมั่นคงของประมุขแห่งรัฐและราชวงศ์ ซึ่งถือว่าหมิ่นเหม่มาก เพราะปัจจุบันนำมาใช้อย่างขาดหลักนิติธรรม ขาดดุลพินิจที่พึงมีพึงชอบ ผลกระทบจึงเกิดต่อประชาชน ต่อสถาบันที่เป็นที่เคารพรักของพวกเรา จึงเป็นการแอบอิงแอบอ้างที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง หากฝ่ายที่เห็นอย่างสุดขั้วว่าห้ามแตะต้อง อีกขั้วหนึ่งที่อยากพัฒนากฎหมายให้สมบูรณ์ขึ้น จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ล้มล้างสถาบันฯ ทันที ดังนั้น ต้องกำจัดความเห็นต่างก่อน เพื่อหาจุดร่วมในสังคมไทย อาศัยเวทีพูดคุยให้ได้
“ปากบอกว่าจงรักภักดี ต่อการกระทำมันไม่ใช่ เพราะฉะนั้นสภาฯ แห่งนี้มาช่วยกันหามาตรการว่าเราจะมีแนวทางอย่างไร ส่วนพรรคไหนพรรคใดจะรับข้อเสนอไปก็แล้วแต่ดุลพินิจ”
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า หากมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 มี.ค. แล้วปล่อยให้เหตุการณ์นี้บานปลาย หรือชักใยอยู่อย่างนั้น ไม่ทำอะไรเลย ถือว่าอำมหิตมากกับการใช้ชีวิตน้อง แลกกับการสืบทอดอำนาจต่อไปโดยไม่มีการเลือกตั้ง
“หากข้อกล่าวหาผมเป็นจริง ต้องสืบเสาะให้ได้ว่า มันเป็นใคร ? มันสมควรอยู่ในประเทศนี้หรือไม่ ? เพียงต้องการแค่สืบทอดอำนาจ ก็เอาชีวิตของมนุษย์ สิทธิเสรีภาพของเขา ไปแลกกับความต้องการของคุณ”
นพ.ชลน่าน กล่าวสรุปว่า ฝ่ายค้านฯ เห็นความสำคัญ จึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมนำเสนอมาตรการและแนวทางการแก้ไข เพราะอยากให้ทุกฝ่ายเห็นชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ จึงขอฝากไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้ดูแลกรมราชทัณฑ์ จากกรณีที่น้องขอไปรักษาตัวในโรงพยาบาลอื่นไม่ใช่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แปลว่าเขาไม่มั่นใจในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ใช่หรือไม่ ? ซึ่งข้อกังวลและสงสัยนี้เป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีในการไปหามาตรการที่จับต้องได้ให้
ในฐานะแพทย์ นพ.ชลน่าน ยังเสนออีกประเด็นว่า จริยธรรมและจรรยาบรรณของแพทย์ยังต้องฝืนเจตนารมณ์ของน้องทั้งสองคน หากตรวจสัญญาณชีพสุ่มเสี่ยงจะสูญสิ้นไป ก็ต้องตัดสินใจให้การรักษา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าการประท้วงของน้องจะไม่เป็นผล เราเคารพเจตนารมณ์เขาบนพื้นฐานเจตนารมณ์ของข้อเรียกร้อง แต่เราต้องรักษาชีวิต
นพ.ชลน่าน กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นข้อเท็จจริง เป็นเหตุผลความจำเป็นที่ต้องเสนอญัตตินี้ พร้อมเสนอเป็นมาตรการให้สภาฯ ดำเนินการ และหวังว่าจะส่งถึงคณะรัฐมนตรีและรัฐบาลที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งรวมถึงองค์กรตุลาการ เพื่อนำสู่การปฏิบัติได้












