‘กสิกรไทย’ แจ้งกำไรไตรมาส 1 ปี 68 แตะ 1.37 หมื่นล้านบาท ชี้เศรษฐกิจเผชิญความท้าทาย

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK แจ้งผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ปรับปรุงใหม่
นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัวในกรอบจำกัด แม้การส่งออกสินค้าจะขยายตัวสูงจากการเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ได้รับอานิสงส์เต็มที่จากปัญหาเชิงโครงสร้าง การแข่งขันสูง และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ
สำหรับแนวโน้มทั้งปี 2568 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าปีก่อน โดยนอกเหนือจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปลายเดือนมีนาคมต่อภาคการท่องเที่ยว อสังหาริมทรัพย์ และก่อสร้างแล้ว การปรับขึ้นภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐฯ ยังส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกไทยหลายรายการ ซึ่งความตึงเครียดของสงครามการค้านี้นับเป็นความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่มาตรการภาครัฐอาจช่วยประคองเศรษฐกิจได้เพียงบางส่วน เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศยังถูกกดดันจากฐานะการเงินที่เปราะบางและหนี้ครัวเรือนที่สูง
ท่ามกลางปัจจัยท้าทายและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย รวมถึงการดูแลช่วยเหลือลูกค้าอย่างเหมาะสม ทั้งการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม การร่วมมือผ่านโครงการภาครัฐเพื่อสนับสนุนลูกค้า ตลอดจนการจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องภายใต้บริบทเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เพื่อส่งมอบผลตอบแทนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหุ้นตามยุทธศาสตร์ 3+1
ธนาคารฯ ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้เริ่มใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 17 เรื่อง สัญญาประกันภัย (IFRS 17) สอดคล้องกับแนวทางสากล โดยได้ปรับปรุงงบการเงินรวมปี 2567 ย้อนหลังเพื่อให้ข้อมูลเปรียบเทียบกันได้ ทั้งนี้ การนำมาตรฐานฯ ดังกล่าวมาใช้ไม่มีผลกระทบอย่างมีสาระสำคัญต่องบการเงินรวม
เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 กับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ปรับปรุงใหม่) พบว่า รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2,761 ล้านบาท หรือ 7.23% จากแรงกดดันของภาวะอัตราดอกเบี้ยและการบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (NIM) อยู่ที่ระดับ 3.41% อย่างไรก็ตาม รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเติบโตขึ้น 1,826 ล้านบาท หรือ 15.39% จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินฯ รายได้จากการลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานสุทธิลดลง 935 ล้านบาท หรือ 1.87%
ด้านค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน เป็นผลจากการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 40.84% นอกจากนี้ ธนาคารฯ ยังคงตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) จำนวน 9,818 ล้านบาท เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ทำให้มีกำไรสุทธิ 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.08%
เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 (ปรับปรุงใหม่) รายได้จากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 397 ล้านบาท หรือ 0.81% ส่วนใหญ่จากกำไรจากเครื่องมือทางการเงินฯ และรายได้จากการลงทุน แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะลดลงตามภาวะตลาด ขณะที่ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลง 2,243 ล้านบาท หรือ 10.06% ส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดตามฤดูกาลและการบริหารจัดการค่าใช้จ่าย ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ เพิ่มขึ้น 2,640 ล้านบาท หรือ 9.99% การตั้งสำรองฯ ยังคงสอดคล้องกับหลักความระมัดระวัง
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 4,355,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14,258 ล้านบาท หรือ 0.33% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 (ปรับปรุงใหม่) ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนสุทธิ ขณะที่เงินให้สินเชื่อสุทธิลดลง เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและการมุ่งเน้นการขยายสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ ทั้งนี้ อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL gross) อยู่ที่ระดับ 3.19% และอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 159.49% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) ของกลุ่มธุรกิจฯ ตามหลักเกณฑ์ Basel III ยังคงแข็งแกร่งอยู่ที่ 20.52%