INVESTMENT

SHR โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2565 ฟื้นตัวโดดเด่น ชูกำไรสุทธิ 208 ล้านบาท พลิกบวกครั้งแรก

วันนี้ (11 พ.ย. 65) SHR บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท ชูผลการดำเนินงานโต 66% กวาดรายได้ 2,362 ล้านบาทในไตรมาสที่ 3 พร้อมพลิกรายงานกำไรสุทธิจำนวน 208 ล้านบาท ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากทั้งช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า เดินหน้าดันผลประกอบการ ในไตรมาสสุดท้ายของปีให้เติบโตต่อเนื่อง มั่นใจทะลุเป้าหมายรายได้ที่ตั้งเป้า 8,500 ล้านบาท

นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ สำหรับรายได้จากการขายและการให้บริการในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ที่ 6,123 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 2 เท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลักดันจากการเติบโตของผลประกอบการของโรงแรมที่บริษัทฯ ลงทุนเติบโตขึ้นทั้ง 4 พอร์ตโฟลิโอ นำทัพโดยผลประกอบการที่โดดเด่นอย่างต่อเนื่องของโรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS Maldives ซึ่งสามารถรักษาอัตราการเข้าพัก ได้อย่างแข็งแกร่งเฉลี่ยที่ระดับร้อยละ 67 อีกทั้งยังสามารถปรับอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) ได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เช่นเดียวกันกับพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรที่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรง ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักต่อคืน หรือ ADR อยู่ในระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เปิดดำเนินงานมาในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ที่ 89 ปอนด์ และผลักดันให้ RevPAR ในงวด 9 เดือนของปีปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ซึ่งนับเป็นช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สำเร็จ นอกจากนั้นแล้ว บริษัทฯ เห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนของอุปสงค์การท่องเที่ยว ในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ตามด้วยสาธารณรัฐมอริเชียส ภายหลังการเริ่มเปิดประเทศอย่างรูปแบบ ส่งผลให้รายได้ในงวดดังกล่าวของพอร์ตโรงแรม Outrigger ฟื้นตัวโดดเด่นที่สุดด้วยรายได้ที่ 1,012 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 22 เท่า จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับในไตรมาสที่ 4 เราเชื่อว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2565 ซึ่งจะถูกผลักดันโดยผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของโรงแรมในประเทศไทย ซึ่งสะท้อนผ่านสถิติการท่องเที่ยวในเดือนตุลาคม 2565 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เข้ามาในไทยเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 44 จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 3.1 ล้านคน ซึ่งฟื้นตัวเกือบเทียบเท่าระดับเดียวกับ จำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อเดือนในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ผนวกกับประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โรงแรมในประเทศไทยของบริษัทฯ ส่งผลให้ในเดือนตุลาคม 2565 โรงแรมในประเทศไทยของบริษัทฯ มีอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับร้อยละ 71 โดยเฉพาะโรงแรม ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และโรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต มีอัตราการเข้าพักที่ร้อยละ 81 และร้อยละ 77 ตามลำดับ ทั้งนี้อัตราการเข้าพักมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้จนถึงต้นปี 2566 และปรับเพิ่ม ADR ได้สูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 ได้สำเร็จ และหนุนด้วยการเติบโตของ CROSSROADS ซึ่งปกติมีช่วง Peak seasons ของการท่องเที่ยวในระหว่างไตรมาสที่ 4 และคาดการณ์ว่าจะมีผลการดำเนินงานที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการในปี 2562 กระทั่งเข้าสู่ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งกำลังจะมาถึงนี้

นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เผยว่า “ผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่เราคาดการณ์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลมาจากศักยภาพของโรงแรมของบริษัทฯ ที่ตั้งอยู่ในจุดหมายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก จุดขายที่โดดเด่นและแตกต่างจากคู่เเข่งของแต่ละโรงแรม ประกอบกับการทำตลาดเชิงรุกเต็มที่ เพื่อเสริมสร้างกลยุทธ์ในการหมุนเวียนลูกค้า เพื่อสร้างสมดุลและเสถียรภาพทางรายได้ให้กับบริษัทฯ เรามีความมั่นใจต่อผลประกอบการในไตรมาสสุดท้ายของปี ที่จะโตอย่างโดดเด่น และผลักดันให้รายได้ทั้งปี 2565 เติบโตขึ้นกว่า 90% จากปีก่อนหน้า”

นอกจากนั้นแล้ว เรายังเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตการลงทุน โดยเฉพาะพอร์ตโรงแรมสหราชอณาจักร ด้วยแผนปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของโรงแรม ผ่านการใช้กลยุทธ์การหมุนเวียนลงทุนสินทรัพย์ กล่าวคือการขายสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำ และนำเงินที่ได้ไปลงทุนในโรงแรมที่มีศักยภาพสูงนั้น โดยระหว่างปี 2565 บริษัทฯ บรรลุข้อตกลงการขายโรงแรม Mercure Burton upon Trent Newton Park และโรงแรม Mercure London Watford มูลค่ารวม 19 ล้านปอนด์ ทั้งนี้เงินที่ได้จากการขายสินทรัพย์แห่งนี้ จะถูกนำไปลงทุนใหม่เพื่อยกระดับสินทรัพย์อื่นๆ ในสหราชอาณาจักรที่มีศักยภาพการแข่งขันสูง บริษัทฯยังได้มีการเข้าซื้อสัญญาเช่าหลัก (Head Lease) ของโรงแรม Mercure Perth มูลค่า 2.7 ล้านปอนด์ ซึ่งช่วยทำให้โรงแรมดังกล่าว มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมาก

ตามมาด้วยการรีโนเวทโรงแรม Outrigger Fiji Beach Resort, ที่จะดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2565 จนถึงสิ้นปี 2566 ซึ่งเป็นการปรับปรุงโรงแรมครั้งใหญ่ ทั้งในส่วนของห้องพัก และพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งจะช่วยให้สามารถปรับขึ้น ADR ได้ 10-15% และการยกระดับห้องพักบางส่วนของ CROSSROADS Maldives เพื่อปรับตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (repositioning) ให้สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มลักชัวรี่ได้มากยิ่งขึ้น โดยผลสำเร็จจากการปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงแรมจะผลักดันให้เป้าหมาย ADR ของเราปรับตัวสูงขึ้นได้ราว 15 – 20%

นายเดิร์ก กล่าวปิดท้ายว่า “เรามั่นใจต่อทิศทางการดำเนินงาน ที่เป็นไปในทิศทางที่เราตั้งเป้าหมายไว้สำหรับปี 2565 นี้ เป็นผลจากพอร์ตโฟลิโอที่กระจายตัว ตามแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทั่วโลก เราตั้งเป้าหมายในปี 2566 ที่จะมีรายได้เติบโตอย่างแข็งแกร่งแตะ 10,000 ล้านบาท เป็นผลมาจากการที่ SHR เดินหน้าพัฒนาห้องพักของโรงแรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์ และศักยภาพในแข่งขัน และผลักดันให้ RevPAR ของทุกโรงแรมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคต รวมถึงภายในสิ้นปี 2566 จะมีการเปิดให้บริการของลักชัวรี่รีสอร์ทแห่งใหม่ บนโครงการ CROSSROADS Maldives ภายใต้แบรนด์ SO/ ที่คาดว่าจะสามารถรองรับนักเดินทางทั่วมุมโลกได้”

Related Posts

Send this to a friend