แต่ครั้งนี้ไฟได้ลุกโหมป่าในซีกที่หันหน้าเข้าเมืองเชียงใหม่ด้านดอยสุเทพ และมีความรุนแรงกินอาณาบริเวณกว้างเพราะสะสมเชื้อเพลิงไว้หลายปี
ที่ผ่านมาภาคประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งประกอบด้วยนักธุรกิจ ข้าราชการ พ่อค้า สื่อมวลชน นักพัฒนา ประชาชนทั่วไป ฯลฯ ได้รวมตัวกันในนามสภาลมหายใจเชียงใหม่ ได้พยายามหารือและวางแผนแก้ไขสภาพวิกฤตของอากาศโดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ซึ่งทำให้เมืองเชียงใหม่ติดอันดับความเลวร้ายเป็นที่ 1 ของโลก โดยไฟไหม้ป่าถือว่าเป็นส่วนสำคัญของวิกฤตการณ์นี้
แต่พลันที่ผู้บริหารกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงพื้นที่ และประกาศก้องว่าชาวบ้านเป็นจำเลยในการเผาป่าดอยสุเทพ ความร่วมมือบางอย่างจึงต้องสะดุดกึก
ผืนป่าดอยสุเทพทำท่าจะกลายเป็นอาณาจักรหวงห้ามสำหรับประชาชน แม้แต่อาสาสมัครที่บินโดรน ที่นำภาพในมุมกว้างมาวางแผนและถ่ายทอดข้อเท็จจริงสู่สังคมก็ยังถูกห้าม
เป็นที่น่าสังเกตว่าป่าที่ถูกไฟไหม้ในผืนป่าดอยสุเทพครั้งนี้ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ยามนี้ปอดของคนเชียงใหม่และผืนป่าจึงเปรียบเสมือนตัวประกันในสมรภูมิเผาป่า
รัฐบาลไทยเคยผิดพลาดครั้งใหญ่ในสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สลายการชุมนุมและใช้ความรุนแรงกับประชาชนมุสลิม จนกลายเหตุการณ์บานปลายมาจนถึงทุกวันนี้ สงครามความรู้สึกกำลังเกิดขึ้นในผืนป่าใหญ่ของภาคเหนือซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เช่นเดียวกัน
ถ้ารัฐไทยยังไม่ปรับเปลี่ยนท่าทีและรูปแบบ บางทีประวัติศาสตร์ที่ปลายด้ามขวานอาจจะซ้ำรอยในภาคเหนือได้