HUMANITY

สกสว.จัดเสวนา ร่วมหาทางออก งานวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ที่มีศักยภาพ

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พร้อมด้วย นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และ ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ ภาควิชาสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมเสวนาในหัวข้อ “วิจักษ์ วิพากษ์ วิจัย: การตั้งโจทย์ และทิศทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ในภาวะความไม่แน่นอน” รวมทั้งแลกเปลี่ยนในประเด็น “พลังสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ กับทิศทางการจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนงานมูลฐาน (Fundamental Fund; FF)” เพื่อเป็นการยกระดับและส่งเสริมให้เกิดผลงานวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ที่มีศักยภาพมากขึ้น ณ ห้องประชุม BEC อาคารคณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร

รศ.ดร.ปัทมาวดี กล่าวว่า “เมื่อมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่เร็วขึ้น ทำให้เกิดแรงกระแทกต่อสังคมโดยตรง เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างรวดเร็ว ทำให้งานวิจัยอาจยังไปไม่ทัน รวมถึงการตั้งโจทย์ที่ยังไม่คมพอ ดังนั้นนักวิจัยต้องฝึกการตั้งโจทย์ ฝึกตั้งคำถามซึ่งยังเป็นสิ่งที่ขาด โดยการตั้งโจทย์และทิศทางมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ในภาวะความไม่แน่นอน ที่แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.งานวิจัยพื้นฐานที่เน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ และเกาะติดพัฒนาการของศาสตร์ 2.งานวิจัยเชิงอนุรักษ์เน้นการศึกษา และสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่น และ 3.งานวิจัยเชิงประยุกต์ที่เน้นการทำร่วมศาสตร์อื่นๆ ในการแก้ปัญหาของสังคม โดยเฉพาะท่ามกลางวิกฤตปัญหา ของความขัดแย้งในสังคมไทย ที่อาจจะมีความต้องการมนุษยศาสตร์มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา เพื่อทำความเข้าใจและจัดการ กับความซับซ้อนของมนุษย์ ร่วมตอบโจทย์หรือเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการแก้ไข”

ขณะที่ประเด็นสาธารณะที่สังคมศาสตร์ สามารถร่วมขับเคลื่อนในฐานะการวิจัยได้ ประกอบด้วย การลดความเหลื่อมล้ำ และการขจัดความยากจน,การส่งเสริมสุขภาวะและความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร,การส่งเสริมความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการแก้ปัญหาความรุนแรงโดยสันติวิธี,การปฏิรูปการศึกษา และการเสริมสร้างพัฒนามนุษย์,การสร้างสังคมเปิดและประชาธิปไตย,การสร้างความรู้เท่าทันและความสามารถ ในการปรับตัวต่อภูมิรัฐศาสตร์ใหม่,การสร้างความสามารถในการกำกับ การพลิกผันทางเทคโนโลยี และรับมือความเสี่ยงอุบัติใหม่,และการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในแผนงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ 2 ที่มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาสังคมไทยอย่างยั่งยืน

ด้าน นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “จากตัวอย่างช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ได้เข้ามาช่วยในการควบคุมสถานการณ์ 6 ประเด็น คือ 1.การรับรู้ความเสี่ยง 2.ความเข้าใจภาวะผู้นำ 3.การจัดการระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว กับผลประโยชน์ส่วนรวม 4.การสื่อสารสร้างความเข้าใจ 5.การเข้าใจบริบทของสังคมที่เกิดขึ้น และ 6.ปัญหาเรื่องความเครียดจากการกักตัวนานเกินไป เช่น ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า เป็นต้น

“ขณะที่การใช้งานวิจัยในโลกการเปลี่ยนแปลง ที่มีการใช้ความรู้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ส่วนระบบบริหารงานวิจัย ระบบสนับสนุนและจัดการศักยภาพงานวิจัย ต้องมีการบริหารจัดการที่พอดี ให้มีความเสมอกันในแต่ละด้าน ซึ่งประโยชน์ของการวิจัยทางสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย 10 ข้อ คือ 1.การใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้แบบ Slow Knowledge และ Fast Knowledge 2.การเข้าใจความซับซ้อนของปรากฎการณ์ทางสังคม 3.การตระหนักถึงความเหลื่อมล้ำ อำนาจและปัจจัยเชิงโครงสร้าง 4.การเคารพในความเป็นมนุษย์ ที่แสดงออกแตกต่างหลากหลาย 5.การรู้เท่าทันอคติที่มีอยู่และอาจเกิดขึ้น 6.การระมัดระวังผลพวงที่คาดไม่ถึง 7.การเข้าใจในชะตากรรมหรือความทุกข์ของคนอื่น 8.การเคารพในความคิดเห็นแตกต่าง และสามารถแลกเปลี่ยน 9.การสามารถคิดในเชิงตรรกะเชิงซ้อน และเข้าใจข้อจำกัดของเหตุผล และ 10.การให้ความสำคัญกับความคิดสร้างสรรค์ การมองนอกกรอบ”

ศ.เกียรติคุณ ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ ภาควิชาสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “การวิจัยเชิงวิพากษ์ทางสังคมศาสตร์ ด้วยวิธีคิดเชิงซ้อน หากไม่นำความคิดเชิงซ้อนมาใช้ จะทำให้ไม่สามารถนำมาใช้กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงได้ ส่วนทฤษฎีนั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ต้องเน้นที่ปรากฎการณ์ ประเด็น และปัญหา โดยมองว่าประเด็นทางการวิจัยสังคมศาสตร์ ต้องประกอบด้วย การวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยการถกเถียงจากมุมมองที่แตกต่าง เพราะความรู้ที่มีอยู่อาจตายตัว หรือขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ปรากฎ เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ๆ ให้รู้เท่าทันสถานการณ์ สร้างความเข้าใจ ทิศทาง และกระบวนการเปลี่ยนแปลง เพื่อผลักดันทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย ให้คนทุกกลุ่มในสังคมให้สามารถมีส่วนร่วมมากขึ้น”

“ก่อนที่จะตั้งโจทย์ จะต้องตั้งประเด็นปัญหากับความรู้ หรือความเข้าใจสามัญ หรือมายาคติต่างๆ เพราะความรู้ในปัจจุบัน อาจมีลักษณะเป็นเพียงวาทกรรม ที่ขัดแย้งหรือย้อนแย้ง โดยเฉพาะในช่วงของภาวะความไม่แน่นอน หรือวิกฤติต่างๆ ขณะที่คีย์สำคัญในการยกระดับนามธรรม ของปรากฎการณ์ คือ การรับรู้ว่านามธรรมนั้นทับซ้อนอยู่หลายระดับ ต้องมองลึกลงไปมากกว่าเท่าที่เห็น มองหาเงื่อนไขเชิงโครงสร้าง กระบวนการทางสังคม และพลังในการขับเคลื่อนสังคม เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกิดการถกเถียงใหม่ๆ รื้อถอนมายาคติ ให้เกิดการปรับเปลี่ยนมุมมอง และผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง”

Related Posts

Send this to a friend