HEALTH

ฝุ่น PM2.5 กระตุ้นโรคปอดในคนไทยติดอันดับ รณรงค์ประชาชน เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงสัมผัสฝุ่น

บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด เผย รายงานข้อมูลจากคลังข้อมูลสุขภาพ ของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเทศไทยมีอัตราการเกิดโรคมะเร็ง ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประเมินได้จากจำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ ปีละมากกว่าแสนราย ซึ่งมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตเฉียดหลักแสนรายเช่นกัน ซึ่งมะเร็งปอดถือเป็นสาเหตุ การเสียชีวิตอันดับ 2 ของคนไทย (เป็นอันดับ 2 ในผู้ชายรองจากมะเร็งตับและถุงน้ำดี และเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิง) โดยในปีที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตประมาณ 14,586 คน หรือคิดเป็น 40 คนต่อวัน ทั้งนี้ยังพบว่าฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือฝุ่น PM2.5 เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอดในคนไทย คิดเป็นอันดับสามของอาเซียน

ทั้งนี้จากผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า มีปัจจัยในชีวิตประจำวันหลายด้าน ที่เป็นสาเหตุกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด ได้แก่ การสูบบุหรี่หรือการอยู่ใกล้ชิดกับคนที่สูบบุหรี่ การทำงานที่มีการสัมผัสกับแร่ใยหินในรูปแบบต่างๆ และการส่งต่อผ่านกรรมพันธุ์เป็นต้น ขณะที่สาเหตุอื่นๆ เช่น มลภาวะทางอากาศ อย่างฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ก็กำลังทวีความรุนแรงและกลายมาเป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก ของการเกิดมะเร็งปอด ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตจาก PM2.5 แล้วกว่า 71,184 ราย (สูงเป็นอันดับสามของอาเซียนรองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม)

แม้ว่าวิกฤตฝุ่นละออง PM2.5 จะได้รับการยกระดับ การแก้ปัญหาเป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็นปัญหาเรื้อรังและเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกปี และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตลอดหลายปีมานี้ เราได้เห็นนักคิด นักวิชาการ รวมถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จำนวนมากที่ออกมาให้ความรู้ความเข้าใจเรื่อง PM2.5 ตลอดจนเตือนภัย และเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา แต่เนื่องจากปัญหาดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไข ดังนั้นประชนชนจึงควรมีข้อมูลความรู้ ในการเตรียมตัวและวางแผนเพื่อดูแลตนเองควบคู่ไปด้วยกัน

โดยฝุ่นละออง PM 2.5 ถือเป็นสารก่อมะเร็ง ที่มีขนาดโมเลกุลเล็กเพียง 2.5 ไมครอน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสามารถลอยเข้าไปในหลอดลม จนถึงปอดได้โดยที่เราไม่รู้สึกตัว ส่งผลให้ปอดเกิดอาการอักเสบ โดยสาเหตุดังกล่าวไม่เพียงแต่ จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้น เช่น แสบตา แสบจมูก ระคายเคืองตา หรือภูมิแพ้กำเริบเท่านั้น แต่หากได้รับฝุ่นละออง PM2.5 ในปริมาณมากและต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบในระยะยาวทำให้เกิด โรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลใหม่ จากการศึกษาวิจัยในงานประชุมวิชาการทางการแพทย์นานาชาติ European Society for Medical Oncology (ESMO) ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งระบุว่ามลพิษฝุ่นละออง PM 2.5 มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยง ต่อการเกิดการกลายพันธุ์ของยีนชนิด EGFR และ KRAS ในเซลล์ระบบทางเดินหายใจ ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคมะเร็งปอดได้ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงมลพิษ ฝุ่นควัน และหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ รวมถึงการตรวจคัดกรองมะเร็งปอด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งกับคนทั่วไปหรือกลุ่มเสี่ยง

สำหรับมะเร็งปอดจะมีทั้งหมด 4 ระยะหลัก โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบเจอในระยะที่ 4 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย หรือในสภาวะที่โรคลุกลามแล้ว ส่งผลให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ทั้งนี้ ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ทำให้มีการนำนวัตกรรม AI เข้ามาใช้ร่วมไปกับการตรวจสอบยืนยันผลจากรังสีแพทย์ เพื่อคัดกรองมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพของผลการตรวจ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษา ได้อย่างทันท่วงทีและตรงจุด เมื่อเทียบผลของการรักษาจะพบว่า หากเจอมะเร็งปอดที่ระยะแรก จะมีโอกาสอยู่รอดใน 5 ปี สูงถึง 92 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ถ้าพบในระยะที่ 4 มีโอกาสอยู่รอดเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จะเห็นได้ว่า “มะเร็ง รู้เร็ว รักษาได้” การได้รับผลวินิจฉัยโรคมะเร็งปอด ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะสามารถทำให้ผู้ป่วยเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างรวดเร็ว นำมาซึ่งผลการรักษาที่ดีและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตให้มากยิ่งขึ้น

ที่สำคัญการหมั่นดูแลตัวเองเป็นประจำ ด้วยการไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงและระมัดระวังการทำกิจกรรมในที่โล่งแจ้งขณะฝุ่นหนาแน่น ปิดประตูและหน้าต่างให้มิดชิด ขณะอยู่ภายในตัวอาคาร สังเกตอาการของคนกลุ่มเสี่ยงรอบตัว หมั่นตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ หรือเมื่อมีอาการเข้าข่าย ถือเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

Related Posts

Send this to a friend