HEALTH

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตรียมตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ ให้บริการตรวจคัดกรอง ดาวน์ซินโดรม มะเร็งปากมดลูก วัณโรค

วันนี้ (18 ต.ค. 66) นายแพทย์ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รักษาราชการแทนอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมด้วย นายแพทย์พิเชฐ บัญญัติ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,นายแพทย์บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์,นายแพทย์ปิยะ ศิริลักษณ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ผู้บริหารหน่วยงานส่วนกลาง และผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 15 แห่ง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานศูนย์ความเป็นเลิศด้านการวินิจฉัยสุขภาพแม่และเด็ก (Excellent diagnosis center for maternal and child health) ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 3 นครสวรรค์

พร้อมกันนี้เตรียมตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ ให้บริการตรวจคัดกรอง ดาวน์ซินโดรม มะเร็งปากมดลูก วัณโรค ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 15 แห่งทั่วประเทศ เพื่อหวังให้ประชาชนเข้าถึง บริการครอบคลุมทุกภูมิภาค เพื่อตอบสนองนโยบายส่งเสริม การมีบุตร มะเร็งครบวงจร และ TB zero ในปี 2573 และพัฒนาศักยภาพ ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทุกแห่ง ให้เป็นศูนย์ความเป็นเลิศ สามารถให้บริการครอบคลุมชุดสิทธิประโยชน์ ทั้งการตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม การตรวจมะเร็งปากมดลูก การตรวจวัณโรค เพื่อให้ประชาชนคนไทย เข้าถึงบริการสาธารณสุข ได้ครอบคลุมทั่วประเทศ

นายแพทย์ยงยศ กล่าวว่า เพื่อให้ประชาชนในทุกพื้นที่ ได้เข้าถึงระบบบริการสุขภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงเตรียมพัฒนาศักยภาพ ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ 15 แห่งที่กระจายอยู่ทุกภูมิภาค ครอบคลุมทั้ง 12 เขตสุขภาพ จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศ ในประเด็นมุ่งเน้น 3 ด้าน คือ 1.การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม 2.การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และ 3.การตรวจวัณโรค (Tuberculosis : TB) ก้าวสู่ TB zero ในปี 2573 ภายใน 100 วัน เพื่อให้สามารถบริการตรวจวิเคราะห์ ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ สนับสนุนความก้าวหน้าทางการแพทย์ และสาธารณสุขไทย

นายแพทย์ยงยศ กล่าวต่อว่า ภายหลังตรวจเยี่ยมว่า ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 3 นครสวรรค์ มีผลงานที่โดดเด่น คือ การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการ ที่มีขนาดการให้บริการใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และปัจจุบันมีการพัฒนา การตรวจคัดกรอง ด้วยวิธี Non-Invasive Prenatal Testing (NIPT) ซึ่งเป็นการตรวจคัดกรองความเสี่ยง ของความผิดปกติ ทางโครโมโซมของทารกในครรภ์จากเลือดแม่ ที่มีความแม่นยำสูง 99% และมีความไวและความแม่นยำกว่าวิธี Quadruple Test (QT) ที่ใช้อยู่เดิม

ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดัน การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม ด้วยวิธี NIPT ให้เข้าสู่สิทธิประโยชน์ ในระบบหลักประกันสุขภาพต่อไป ซึ่งมีความปลอดภัยกับทารกในครรภ์ มากกว่าการเจาะน้ำคร่ำ เพื่อให้เด็กเกิดใหม่มีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต อีกทั้งช่วยลดภาระงานของแพทย์ ในการเจาะน้ำคร่ำอีกด้วย

นอกจากนี้ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 3 นครสวรรค์ ยังมีผลงานเด่น ในเรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ด้วยวิธี HPV DNA test สามารถตรวจระบุทั้ง 14 สายพันธุ์ เสี่ยงสูงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานในปี 2564 ได้รับตัวอย่างเพื่อตรวจคัดกรอง จำนวน 28,870 ราย จากจังหวัดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ตรวจพบสายพันธุ์เสี่ยงสูง จำนวน 2,220 ราย คิดเป็นร้อยละ 7.69 ในปี 2565 ได้รับตัวอย่าง 13,309 ราย ตรวจพบสายพันธ์เสี่ยงสูง จำนวน 1,133 ราย คิดเป็นร้อยละ 8.51

และในปี 2566 มีการพัฒนารูปแบบ การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก โดยใช้ชุดเก็บตัวอย่างด้วยตนเอง (HPV Self-Sampling) นำร่องในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ผ่านเครือข่าย วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องทุกระดับ พัฒนาศักยภาพ อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน ลงพื้นที่ให้ความรู้หญิงกลุ่มเป้าหมาย ในการเก็บสิ่งส่งตรวจด้วยตนเอง โดยมีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลชุมชน สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ เป็นพี่เลี้ยงและแกนนำ ของหน่วยบริการเก็บตัวอย่าง บันทึกข้อมูล ส่งตัวอย่าง เกิดเป็นต้นแบบ ลดการเกิดมะเร็งปากมดลูกแบบบูรณาการ ระดับจังหวัดในพื้นที่จังหวัดชัยนาท ทำให้จังหวัดชัยนาท มีอัตราการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในสตรีไทยอายุ 30-60 ปี เป็นอันดับ 1 ของประเทศ จากตัวอย่างที่ได้รับ 19,961 ตัวอย่าง ตรวจพบเซลล์มากถึง 19,586 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 98.8 ผลตรวจพบสายพันธุ์เสี่ยงสูง จำนวน 1,785 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.11

ส่วนสายพันธุ์ที่พบเสี่ยงสูง 5 อันดับแรก คือ HPV 16,52,58,66 และ 68 สอดคล้องการเก็บตัวอย่าง ด้วยบุคลากรทางการแพทย์ ในปี 2564-2565 ทั้งนี้ บางสายพันธุ์วัคซีนป้องกัน มะเร็งปากมดลูกยังไม่ครอบคลุม ความสำเร็จการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เชิงรุกด้วยชุดเก็บตัวอย่างตนเองที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้หญิงไทยในพื้นที่ห่างไกล เข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้ทั่วถึง ช่วยให้ตรวจพบร่องรอยโรคได้ไว และนำสู่การรักษาได้รวดเร็วขึ้น

Related Posts

Send this to a friend