สวรส. เพิ่มสิทธิ ‘บัตรทอง’ รักษาหลอดเลือดสมองอุดตันเฉียบพลันด้วยสายสวนหลอดเลือด
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สนับสนุนทุนวิจัยให้กับทีมวิจัยจากโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) เพื่อศึกษาเรื่อง “การประเมินต้นทุนอรรถประโยชน์ของการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันระยะเฉียบพลันผ่านสายสวนหลอดเลือดด้วยยวิธี endovascular treatment ในประชากรไทย”
งานวิจัยพบว่า จากการเปรียบเทียบด้วยค่าผลประเมินความคุ้มค่า ซึ่งเกณฑ์ความคุ้มค่าในการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันฯ ผ่านสายสวนหลอดเลือดด้วยวิธี EVT ของประเทศไทยอยู่ที่ไม่เกิน 160,000 บาทต่อปีสุขภาวะ การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวร่วมกับยาละลายลิ่มเลือดจะมีความคุ้มค่าอยู่ที่ 147,000 บาทต่อปีสุขภาวะ ส่วนกรณีที่ผู้ป่วยมีข้อห้ามใช้ยาละลายลิ่มเลือด การรักษาโดยสายสวนหลอดเลือดด้วยวิธี EVT อย่างเดียว เปรียบเทียบกับ supportive care จะมีความคุ้มค่าที่ 114,000 บาทต่อปีสุขภาวะ
การนำวิธีการรักษาแบบสายสวนหลอดเลือดด้วยวิธี EVT เข้าสู่สิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง รัฐจะต้องสนับสนุนงบประมาณเพิ่มสำหรับผู้ป่วย 2,000 รายต่อปี รวมทั้งสิ้น 887 ล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ภายใต้ศักยภาพบริการของประเทศไทยที่สามารถทำได้ ปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่ให้บริการ EVT ได้ทั้งภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศ 52 แห่ง แบ่งเป็น ภาคกลาง 40 แห่ง ภาคเหนือ 6 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง ภาคตะวันออก 1 แห่ง และภาคใต้ 2 แห่ง
สำหรับแพทย์ที่สามารถทำหัตถการดังกล่าวได้ มีทั้งหมด 50 คน ประกอบด้วย รังสีแพทย์จำนวน 22 คน ประสาทศัลยแพทย์ 21 คน และอายุรแพทย์ สาขาประสาทวิทยา 7 คน คาดว่าอนาคตจะสามารถอบรมแพทย์หลักสูตรอนุสาขารังสีร่วมรักษาระบบประสาทได้จำนวน 8 ตำแหน่งต่อปี และหลักสูตรศัลยแพทย์หลอดเลือดสมองและไขสันหลัง 2-3 ตำแหน่งต่อปี
งานวิจัยข้างต้น ส่งผลให้ สปสช. พิจารณาเพิ่มการรักษาผ่านสายสวนหลอดเลือดด้วยวิธี EVT เป็นชุดสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองอุดตันระยะเฉียบพลันที่เข้าเกณฑ์การรักษา ไม่ว่าจะมีข้อห้ามในการใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ ราคาเบิกจ่ายอยู่ที่ 73,800 บาทต่ออุปกรณ์ 1 ชุด ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดที่บริษัทผู้ผลิตเสนอให้ภาครัฐ นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เสนอให้เรื่องดังกล่าวอยู่ในแผนการให้บริการของกระทรวง โดยกำหนดให้ทุกเขตสุขภาพต้องมี Thrombectomy อย่างน้อย 1 แห่ง
ภญ.วรัญญา รัตนวิภาพงษ์ นักวิจัยจาก HITAP เครือข่ายนักวิจัย สวรส. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากงานวิจัยว่า การสนับสนุนให้องค์กรวิชาชีพ และกระทรวงสาธารณสุข พัฒนาขีดความสามารถของสถานพยาบาล และจัดสรรบุคลากรให้กระจายทั่วถึงในทุกเขตบริการสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งควรเพิ่มมาตรการเพื่อให้มีการวินิจฉัยและส่งต่อ หรือให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที ลดอัตราการเสียชีวิตและพิการของผู้ป่วย
นพ.นพพร ชื่นกลิ่น ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า การลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอุดตันระยะเฉียบพลันเป็นสิ่งที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป็นตัวชี้วัดหลัก โดยกำหนดแนวทางในการรักษาผู้ป่วยแบบเร่งด่วนในโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยงานวิจัยนับเป็นทางเลือกเทคโนโลยีที่เหมาะสม เป็นหลักฐานทางวิชาการที่สะท้อนความคุ้มค่าในการนำเทคโนโลยีมา ซึ่งข้อมูลจากงานวิจัยมีความจำเป็นต่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย เช่น การบรรจุเข้าสู่สิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพ จะเป็นการพัฒนาระบบสุขภาพนำไปสู่การลดค่าใช้จ่ายในการรักษา เกิดความยั่งยืนของระบบ ลดการเสียชีวิตและเพิ่มการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน