HEALTH

แพทย์จิตเวช เผยข้อมูลโรคซึมเศร้า พร้อมแนะวิธีรับมือและทางแก้ไข

พญ.เต็มหทัย นาคเทวัญ แพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพจิต โรงพยาบาลนวเวช ล่าสุดเผยข้อมูลเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า ที่ปัจจุบันหลายคนพูดถึงมากขึ้น พร้อมกันนี้ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุหรือปัจจัย ที่เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ความเศร้า ที่มีอยู่ในตัวทุกคนอยู่แล้ว ให้กลายเป็นอาการของโรคซึมเศร้าขึ้น ตลอดจนวิธีการรักษา เพื่อหาแนวทางการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

พญ.เต็มหทัย กล่าวว่า “อารมณ์เศร้าเป็นอารมณ์พื้นฐานหนึ่งในหลายอารมณ์ ที่ทุกคนรู้จักและเคยมีประสบการณ์ เกิดขึ้นตามปัจจัยกระตุ้นต่างๆ และอารมณ์นั้นก็เกิดขึ้นได้ หายได้ แต่หากอารมณ์เศร้าเกิดขึ้นอยู่นานช่วงระยะเวลาหนึ่งไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังมีอาการอื่นๆร่วมด้วย จนรบกวนการใช้ชีวิตประจําวันด้านต่างๆ นั่นอาจหมายถึง “โรคซึมเศร้า”

สำหรับเกณฑ์การวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า หากมีอาการต่อไปนี้ 5 อาการ โดยต้องมีอาการข้อ 1 หรือ 2 อย่างน้อย 1 ข้อ และต้องมีอาการเป็นอยู่นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป

1.อารมณ์ซึมเศร้า/หดหู่/เบื่อ แทบทั้งวัน

2.ความชอบความสนใจในกิจกรรมต่างๆลดลงมาก

3.น้ำหนักลดหรือเพิ่มมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน หรือมีอาการเบื่ออาหาร/รับประทานอาหารมากผิดปกติ

4.นอนไม่หลับ หรือ หลับมากเกินไป

5.เชื่องช้าลง หรือ กระวนกระวายอยู่ไม่สุข

6.อ่อนเพลีย ไม่มีแรง

7.สมาธิลดลง หรือ ตัดสินใจลําบาก

8.รู้สึกไร้ค่า

9.คิดเรื่องการตาย หรือ อยากตาย

สาเหตุของโรคซึมเศร้าประกอบด้วยหลายปัจจัย ซึ่งมีปัจจัยสําคัญหลักๆดังนี้

1.สารเคมีในสมอง ความผิดปกติของการสร้างสารเคมีในสมอง ทําให้เกิดการปรับเปลี่ยนของระดับปริมาณสารดังกล่าว โดยมีสารที่สําคัญ เช่น serotonin/ dopamine/ norepinephrine มีปริมาณลดต่ำลง รวมทั้งอาจมีความผิดปกติของเซลล์ ตัวรับสารเคมีเหล่านี้ในสมองข้างต้นอีกด้วย

2.พัฒนาการของจิตใจ การเลี้ยงดู การเติบโตในวัยเด็ก และสถานการณ์สภาพแวดล้อมต่างๆ ที่พบเจอในแต่ละช่วงวัย ล้วนส่งผลต่อสภาพจิตใจ ก่อให้เกิดลักษณะนิสัยหรือแนวความคิดของแต่ละบุคคลที่มีอิทธิพลในการดําเนินชีวิต และการดูแลสุขภาพใจ

3.พันธุกรรม การศึกษาถึงระดับยีนส์และโครโมโซมพบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคซึมเศร้า โดยเฉพาะในกรณีของผู้ที่มีอาการเป็นซ้ำหลายๆครั้ง

ส่วนการรักษา


1.ยาต้านเศร้า การรักษาหลักที่สําคัญของโรคซึมเศร้า คือ การรักษาด้วยยาต้านเศร้า เนื่องจากยาต้านเศร้าจะออกฤทธิ์ โดยการไปปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง ทําให้อาการต่างๆดีขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นในระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์

2.การพูดคุยกับจิตแพทย์/นักจิตบําบัด เพราะการพูดคุยเปรียบได้กับกระจกที่ช่วยสะท้อน เพื่อให้เกิดความตระหนัก หรือเข้าใจตนเองในแง่มุมที่หลากหลายขึ้น ช่วยให้มองเห็นปัญหาต่างๆ ในมุมมองใหม่ และแนวทางในการปรับตัว รวมถึงการดูแลจิตใจให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น

ทั้งนี้โรคซึมเศร้า ไม่ได้เกิดจากความอ่อนแอ คิดมาก หรือหนีปัญหา แต่เป็นโรคที่ควรได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่ออาการดีขึ้น ก็จะสามารถกลับมามีศักยภาพ ในการใช้ชีวิตได้ตามปกติ อีกทั้งความเข้าใจต่อโรคทั้งจากผู้ป่วย และบุคคลใกล้ชิดก็เป็นสิ่งที่จําเป็น เพื่อที่จะช่วยกันสร้างบรรยากาศ ของความสุขและสุขภาพจิตใจที่ดี

Related Posts

Send this to a friend