แพทย์ เผยคนไทยเสี่ยงเป็นโรคอ้วนสูงขึ้น ชี้บางรายฮอร์โมนหิว-อิ่มไม่สมดุล
รศ.พญ.อภัสนี บุญญาวรกุล อายุรแพทย์โรคต่อมไร้ท่อและเมแทบอลิซึม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยข้อมูลจากวารสารแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เมื่อปี 2566 ระบุว่า ความชุกของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนในไทยปี 2565 สูงถึงร้อยละ 47.8 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34.7 ในปี 2559 และสูงเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน ซึ่งโรคอ้วนอันตรายกว่าที่คิด ควรหันกลับมาปรับพฤติกรรม หรือปรึกษาแพทย์ก่อนจะสายเกินไป ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบภาวะน้ำหนักเกินได้ง่าย ๆ 3 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 ใช้ส่วนสูงหน่วยเซนติเมตร ในเพศชายส่วนสูง -100 และ เพศหญิงส่วนสูง -105 ค่าที่ได้คือค่าน้ำหนักมาตรฐาน
วิธีที่ 2 ดูค่าดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) โดยคำนวณจากน้ำหนักตัว (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เป็นเมตรยกกำลังสอง) เช่น น้ำหนัก 60 กิโลกรัม สูง 165 เซนติเมตร ค่า BMI เท่ากับ 22 มาจาก 60 หารด้วย (1.65 x 1.65) ซึ่งเกณฑ์ปกติอยู่ที่ 18.5-22.9 ถ้า BMI ตั้งแต่ 23 ขึ้นไป ถือว่าเริ่มมีภาวะน้ำหนักเกิน ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป ถือว่ามีภาวะโรคอ้วน
วิธีที่ 3 วัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย เพศชายไม่ควรมีไขมันในร่างกายเกินร้อยละ 25 ส่วนเพศหญิงไม่ควรเกินร้อยละ 33
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน มักสัมพันธ์กับการมีปัญหาสุขภาพ งานวิจัยจาก National Institutes of Health (NIH), World Health Organization (WHO) และ American Heart Association (AHA) พบว่า โรคอ้วนก่อให้เกิดโรคอื่นกว่า 229 โรค และยังพบความสัมพันธ์ระหว่างค่า BMI กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ เช่น ผู้ที่มีค่า BMI ตั้งแต่ 30 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไป พบว่าร้อยละ 50 มีความเสี่ยงเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม และโรคความดันโลหิตสูง ร้อยละ 40 พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคอื่น ๆ ที่พบ เช่น โรคกรดไหลย้อน ไขมันพอกตับ โรคเบาหวาน โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด รวมทั้งโรคซึมเศร้า และเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
รศ.พญ.อภัสนี กล่าวต่อไปว่า ในร่างกายจะมีศูนย์ควบคุมความหิว ความอิ่ม ในสมองส่วนไฮโปทาลามัส และมีฮอร์โมนที่ส่งสัญญาณเชื่อมต่อระหว่างสมองกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ตื่นนอนในตอนเช้า ร่างกายต้องการพลังงาน กระเพาะอาหารหลั่งฮอร์โมนเกรลินทำให้รู้สึกหิว และเมื่อรับประทานอาหารแล้ว ลำไส้เล็กหลั่งฮอร์โมน GLP-1 ทำให้รู้สึกอิ่ม
สำหรับผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกินที่ควบคุมการรับประทานอาหารได้ยาก ส่วนหนึ่งมาจากระบบฮอร์โมนที่ควบคุมความหิว ความอยากรับประทานอาหารทำงานไม่สมดุล หากควบคุมอาหารและออกกำลังกายแล้ว แต่ยังลดน้ำหนักได้ไม่ถึงเป้าหมาย สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางลดน้ำหนักให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ส่วนแนวทางการรักษามีหลายวิธี เช่น การใช้ยาลดน้ำหนักควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม ปัจจุบันไทยมียาลดน้ำหนักที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อยู่ 3 ตัว คือ phentermine, orlistat และ liraglutide มีรายละเอียดดังนี้
1.Phentermine เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2 ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ใช้ได้ระยะสั้นจำเป็นต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด
2.Orlistat เป็นยาที่ยับยั้งเอนไซม์ที่ย่อยไขมัน ลดการดูดกลับของไขมันเข้าสู่ร่างกาย ทำให้มีผลข้างเคียงเกี่ยวกับการถ่ายไขมันปนกับอุจจาระ หรือผายลมแล้วมีน้ำมันปนออกมาเลอะได้
3.Liraglutide เป็นยาในกลุ่ม GLP-1 ช่วยควบคุมความอยากอาหาร โดยทำงานเลียนแบบฮอร์โมนอิ่มตามธรรมชาติ ออกฤทธิ์ทำให้อิ่มเร็วขึ้น อาหารย่อยและดูดซึมช้าลง ค้างอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ทำให้อิ่มนาน ใช้ได้ระยะยาว โดยผู้ใช้ยาส่วนหนึ่งร่างกายอาจไม่คุ้นชินกับ GLP-1 ที่เพิ่มขึ้น อาจมีอาการไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น พะอืดพะอม อยากอาเจียน ท้องเสีย แต่ร่างกายจะปรับตัวได้ในเวลาไม่นาน ในต่างประเทศใช้ยาในกลุ่ม GLP-1 มานานกว่า 10 ปีแล้ว สำหรับประเทศไทย ยาฉีดใต้ผิวหนังในกลุ่มนี้ได้รับการอนุมัติจาก อย. แล้วกว่า 5 ปี เช่นกัน