HEALTH

กรมการแพทย์ เผยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม แนะตรวจสุขภาพประจำปี

วันนี้ (1 มี.ค. 66) นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เผยข้อมูลล่าสุด เกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ที่พบในคนไทยปีละ 3,000-4,000 คน ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมกันนี้แนะนำประชาชนมั่นสังเกตตนเอง หากคลำพบต่อมน้ำเหลืองโต บริเวณรักแร้ คอ ขาหนีบ ตามข้อพับ และในช่องอก ช่องท้อง หรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์

นายแพทย์วีรวุฒิ กล่าวว่า “มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็ง ที่พบบ่อยในคนไทย สามารถพบได้ทุกช่วงอายุแล้วแต่ชนิด โดยพบได้ประมาณ 3,000-4,000 คนต่อปี มะเร็งที่เกิดกับต่อมน้ำเหลืองเกิดได้ทุกบริเวณของร่างกาย ตั้งแต่บริเวณรักแร้ คอ ขาหนีบ ตามข้อพับ และในช่องอก ช่องท้อง นอกจากนี้แล้วเซลล์ต่อมน้ำเหลือง ยังมีอยู่ทุกอวัยวะในร่างกาย สามารถเกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ทั้งสิ้น เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำไส้ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง เป็นต้น”

ด้าน แพทย์หญิงศศินิภา ตรีทิเพนทร์ อายุรแพทย์โรคเลือด สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า “มะเร็งต่อมน้ำเหลือง แบ่งประเภทออกเป็น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดจ์กิน (Hodgkin lymphoma) ผู้ป่วยมักจะมีต่อมน้ำเหลืองโต บริเวณคอและช่องอก ให้การรักษาโดยการใช้ยาเคมีบำบัด ร่วมกับการฉายแสง โอกาสหายขาดสูง และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-hodgkin lymphoma) พบมาก และแบ่งย่อยออกได้อีกประมาณ 30 ชนิด แต่แบ่งตามลักษณะการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้เป็น 2 แบบ คือ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดรุนแรง (Aggressive lymphoma) การแบ่งตัวและแพร่กระจายเกิดอย่างรวดเร็ว มีอาการรุนแรง ดังนั้นจึงตอบสนองกับยาเคมีบำบัด ซึ่งออกฤทธิ์กับเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวเร็วอยู่ค่อนข้างดี กลุ่มนี้ต้องรักษาทันที หากไม่รักษาผู้ป่วยอาจเสียชีวิตใน 6 เดือน ถึง 2 ปี แต่ถ้าได้รับการรักษาทันท่วงที มีโอกาสหายขาดจากโรคได้มาก แม้จะอยู่ในระยะไหนก็ตาม

ส่วนมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดค่อยเป็นค่อยไป (Indolent lymphoma) การแบ่งตัวและแพร่กระจายค่อนข้างช้า อาการเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง กลุ่มนี้มักไม่ค่อยหายขาด ด้วยเคมีบำบัดที่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงรักษาเมื่อมีข้อบ่งชี้ และติดตามอาการเป็นระยะ ปัจจัยเสี่ยงและสาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดได้จากทั้ง การติดเชื้อทั้ง virus เช่น HIV, HCV, EBV การติดเชื้อ bacteria ที่ทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง,พันธุกรรม,ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำจากการได้รับยา, สารเคมีที่มีสารก่อมะเร็งอยู่ เช่น สารกำจัดศัตรูพืช

ดังนั้นการป้องกันของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จึงทำได้โดยการหมั่นสังเกตตัวเอง ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หากเจ็บป่วยให้รีบไปรักษา หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีโดยตรง และรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง อาการของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง แบ่งเป็นอาการทางระบบหรือ B-symptom เช่น อาการไข้ ที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลานานกว่าสองสัปดาห์,เหงื่อออกตอนกลางคืน, น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเบื่ออาหารผิดปกติ และอาการเฉพาะที่ที่เกิดจากต่อมน้ำเหลืองโต ในบริเวณนั้นๆ เช่น แน่นหน้าอก หายใจลำบาก ปวดแน่นท้อง ท้องอืด ปวดศีรษะ เป็นต้น

สำหรับการรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง ปัจจุบันให้การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ร่วมกับยาพุ่งเป้า (Targeted therapy) ที่เริ่มมีการศึกษาวิจัยและนำมาใช้มากขึ้นในปัจจุบัน ฉายแสงในบางกรณี และการปลูกถ่ายไขกระดูกในเคสที่กลับเป็นซ้ำ นอกจากนี้ยังมีวิธีการรักษาใหม่ สำหรับโรคที่กลับเป็นซ้ำด้วยการใช้เซลล์บำบัด (CAR-T cell) ซึ่งยังอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัยในประเทศไทย

Related Posts

Send this to a friend