‘พิชัย’ ถก JETRO – หอการค้าญี่ปุ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน

‘พิชัย’ ถก JETRO -หอการค้าญี่ปุ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
วันนี้ (30 ม.ค. 68) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับ คุโรดะ จุน (KURODA Jun) ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น ณ กรุงเทพฯ หรือ JETRO Bangkok และ โท โคโซ (TO Kozo) ประธานหอการค้าญี่ปุ่น – กรุงเทพฯ (Japanese Chamber of Commerce, Bangkok : JCCB) โดยทั้งสองฝ่ายหารือแนวทางการส่งเสริมเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจอย่างยั่งยืนระหว่างกัน
นายพิชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์สนับสนุนให้ผู้ประกอบการญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการลงทุน ซึ่ง JETRO และ JCC ต่างมีส่วนสำคัญในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของไทย ที่ผ่านมาญี่ปุ่นถือเป็นนักลงทุนสะสมอันดับหนึ่งของไทยมาอย่างยาวนาน ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์จัดทำ FTA กับเอฟตา และนายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์เร่งรัดทำ FTA กับอียูให้สำเร็จภายในปีนี้
ทั้งนี้ ได้เชิญชวนให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ Data Center แผงวงจรพิมพ์ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งขอให้ไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนภาคอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ และ AI ของญี่ปุ่น ที่จะมีการทุ่มงบประมาณมากกว่า 10 ล้านล้านเยน (2.2 ล้านล้านบาท) ในช่วง 10 ปีข้างหน้า พร้อมให้กระทรวงพาณิชย์เร่งปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งวันที่ 3-8 กุมภาพันธ์ จะเดินทางไปที่สหรัฐฯ เพื่อเจรจาเรื่องกำแพงภาษีจากนโยบายทรัมป์ที่ภาคเอกชนแสดงความกังวลอยู่ในเวลานี้
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังให้ความสำคัญกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา อีกทั้งยังมุ่งสร้างความเป็นธรรมทางการค้า ทั้งการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมายและสินค้าด้อยคุณภาพจากต่างประเทศเพื่อดูแลผลประโยชน์ผู้บริโภค และการกำกับดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน พร้อมเน้นย้ำที่จะแก้ไขปัญหาให้กับทุกท่านที่มาลงทุนกับไทยอย่างเต็มที่
ฝ่าย JETRO และ JCC ยื่นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อเป็นแนวทางให้ภาครัฐไทยสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่เอื้อต่อการค้าการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่บริษัทต่างชาติในไทยและเพิ่มความยืดหยุ่นในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน โดยเฉพาะการปรับปรุงข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มผลิตผลทางการเกษตร
ด้านคุโรดะ จุน นำเสนอผลสำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2567 จากบริษัทที่เป็นสมาชิกหอการค้าญี่ปุ่นฯ 559 ราย พบว่า ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ (DI) อยู่ที่ -11 สาเหตุหลักมาจากการบริโภคสินค้าคงทนที่ยังซบเซา แม้ว่าจะได้รับผลดีบางส่วนจากการฟื้นตัวของการส่งออก
ส่วนแนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งแรกของปี พ.ศ.2568 มีสัดส่วนบริษัทผู้ตอบแบบสำรวจที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24 คงที่ ร้อยละ 62 และลดลง ร้อยละ 13 โดยตลาดส่งออกที่มีศักยภาพในอนาคต 4 อันดับแรก ได้แก่ อินเดีย ร้อยละ 49 เวียดนาม ร้อยละ 44 อินโดนีเซีย ร้อยละ 28 และสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 20 ตามลำดับ
นอกจากนี้ มีหลายประเด็นที่ญี่ปุ่นเห็นว่ารัฐบาลไทยปรับปรุงพัฒนาดีขึ้น ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมการขนส่ง ร้อยละ 28 การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินงานของภาครัฐ ร้อยละ 15 การแก้ปัญหาการออกใบอนุญาตทำงานและวีซ่า ร้อยละ 14 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการสื่อสาร ร้อยละ 14 การออกมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัย ร้อยละ 11 และการดำเนินงานด้านความตกลงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ FTA และ EPA ร้อยละ 10 ซึ่งญี่ปุ่นให้การยืนยันที่จะลงทุนในไทยต่อไป