ต่างชาติลงทุนในไทย 4 เดือนแรก รวม 5.4 หมื่นล้าน ญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง

ต่างชาติลงทุนในไทย 4 เดือนแรก รวม 54,958 ล้านบาท ญี่ปุ่นลงทุนอันดับหนึ่ง 34,055 ล้านบาท

วันนี้ (18 พ.ค. 67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ช่วงสี่เดือนแรกของปี 2567 อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยภายใต้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 จำนวน 253 ราย

ทั้งนี้ เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 69 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 184 ราย เกิดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 54,958 ล้านบาท ส่งผลต่อการจ้างงานคนไทย 1,019 คน สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่

1.ญี่ปุ่น 63 ราย คิดเป็นร้อยละ 25 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 34,055 ล้านบาท ในธุรกิจโฆษณา ธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจบริการชุบเคลือบผิวด้วยโลหะ ธุรกิจบริการพัฒนาดิจิทัลคอนเทนต์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชิ้นส่วนอลูมิเนียมทุบขึ้นรูป ชิ้นส่วนรถยนต์ และชิ้นส่วนโลหะ)

2.สิงคโปร์ 42 ราย คิดเป็นร้อยละ 17 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 4,499 ล้านบาท ในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจบริการติดตั้ง ซ่อมแซม บำรุงรักษาเครื่องชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (แม่พิมพ์และอุปกรณ์จับยึด ชิ้นส่วนยานพาหนะ และผลิตภัณฑ์จากพลาสติกชีวภาพ)

3.สหรัฐอเมริกา 41 ราย คิดเป็นร้อยละ 16 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 1,148 ล้านบาท ในธุรกิจบริการทางวิศวกรรม ธุรกิจค้าปลีกสินค้า (อาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูป เครื่องจักรที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม และเครื่องมือช่าง อุปกรณ์คอมพิวเตอร์) ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและแนะนำในการประกอบธุรกิจในด้านต่าง ๆ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (พวงมาลัยรถยนต์ และ DRUM BRAKE ASSEMBLY)

4.จีน 29 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 4,031 ล้านบาท ในธุรกิจบริการที่ให้แก่บริษัทในเครือ หรือบริษัทในกลุ่ม (บริการให้เช่าพื้นที่อาคารโรงงาน) ธุรกิจบริการตัดโลหะ ธุรกิจบริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ชุดพัดลมระบายความร้อนสำหรับรถยนต์ หลอดไฟแบบ LED และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม) และธุรกิจบริการให้ใช้ช่วงสิทธิแฟรนไชส์ เพื่อประกอบธุรกิจการขายอาหารและเครื่องดื่ม

5.ฮ่องกง 17 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,650 ล้านบาท ในธุรกิจค้าปลีกสินค้า (เครื่องฉีดขึ้นรูป และฟิล์มไวแสง) ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าระหว่างประเทศด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการแผงโซล่าเซลล์และอุปกรณ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (อะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์ ชิ้นส่วนประกอบที่ทำจากอลูมิเนียม และแม่พิมพ์) และธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ

การอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 36 ราย คิดเป็นร้อยละ 17 และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 16,256 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 42 ในขณะที่มีการจ้างงานคนไทยลดลง 1,400 ราย คิดเป็นร้อยละ 58 โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน

สำหรับการลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วงสี่เดือนแรกของปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุน 77 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 34 ราย มีมูลค่าการลงทุน 14,033 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 26 ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 6,512 ล้านบาท เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 20 ราย เงินลงทุน 2,002 ล้านบาท จีน 14 ราย เงินลงทุน 980 ล้านบาท สิงคโปร์ 9 ราย เงินลงทุน 1,018 ล้านบาท และอื่น ๆ 34 ราย เงินลงทุน 10,033 ล้านบาท

ทั้งนี้ ธุรกิจที่ลงทุนในพื้นที่ EEC ประกอบด้วย ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาชิ้นส่วนยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการซ่อมแซมหินเจียร ใบหินตัด ใบเลื่อย เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีส่วนประกอบทำด้วยเพชร ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูปทางด้านภาพ เสียงระบบนำร่อง และชิ้นส่วน/ แม่พิมพ์ ชิ้นส่วนแม่พิมพ์ และชิ้นส่วนโลหะปั๊มขึ้นรูป/ อะไหล่และส่วนประกอบรถยนต์) และธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์