CRIME

ผบ.ตร.แถลงผลทลายแก๊งจีนเทา หลอกลงทุนไฮบริดสแกม เสียหายกว่าหมื่นล้าน

ผบ.ตร. – ตำรวจไซเบอร์ แถลงผลทลายแก๊งจีนเทา ในปฏิบัติการ “Turst No One ล่าข้ามโลก” หลอกคนไทย – ต่างชาติ ร่วมลงทุนไฮบริดสแกม เสียหายกว่า 1 หมื่นล้าน ด้าน ‘ชูวิทย์’ ขอตำรวจจัดการให้เด็ดขาด หวั่นเกิดเหตุซ้ำในอนาคต

วันนี้ (31 พ.ค. 66) เวลา 16:40 น. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร. และคณะ ร่วมแถลงข่าวผลปฏิบัติการ “Trust No One ล่าข้ามโลก” จับกุมกลุ่มทุนจีนสีเทา ซึ่งเป็นระดับผู้บริหารหลอกไฮบริดสแกม และนำเงินไปฟอกเป็นเงินสกุลดิจิทัล พบมีผู้เสียหายคนไทย และต่างชาติจำนวนมาก ความเสียหายกว่า 1 หมื่นล้านบาท พร้อมยึดทรัพย์บ้านพักหรู 19 หลัง และเงินดิจิทัลอีกกว่า 60 ล้านบาท

โดย ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. นำกำลังเข้าตรวจค้นภายในบ้านพักรวม 6 หลัง ภายในหมู่บ้านหรู มูลค่ากว่า 67 ล้านบาท ย่านพัฒนาการ 30 พร้อมเข้าจับกุมนายเซาเซียน และนางคียิ ยี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับ คดีหลอกให้ร่วมลงทุนไฮบริดสแกม โดยใช้โปรไฟล์ปลอมหลอกตีสนิทผู้เสียหายผ่านโปรแกรมทางออนไลน์

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ เปิดเผยว่า คดีนี้มีผู้เสียหายมากกว่า 2 หมื่นคดี มูลค่าความเสียหายกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยผู้ต้องหาจะหลอกให้มาร่วมลงทุน โดยให้ผู้เสียหายซื้อเงินสกุลดิจิทัล แต่เมื่อต้องการจะถอนเงินต้นและกำไร ไม่สามารถถอนเงินออกมาได้โดยจะอ้างว่าบัญชีถูกระงับ ต้องโอนเงินลงทุนเพิ่มจึงจะสามารถถอนเงินออกมาได้ ทำให้มีบางคดีมีความเสียหายมากกว่า 18 ล้านบาท

ผู้ต้องหามีความซับซ้อนในการโอนเงินไปยังบัญชีต่างๆ เพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบโดยส่วนใหญ่จะโอนต่อไปยังบัญชีที่อยู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยคดีนี้ยังพบว่ามีผู้เสียหายที่ถูกหลอกอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และอังกฤษอีกด้วย ขณะนี้ตำรวจได้ประสานให้ระงับธุรกรรมเงินดิจิทัลที่อยู่ในบัญชีมูลค่ากว่า 60 ล้านบาทไว้แล้ว

พฤติกรรมของผู้ต้องหา ยังพบว่าไม่ได้ประกอบธุรกิจใดๆ แต่ใช้ชีวิตหรูหรามีเงินฝากเข้าบัญชีจำนวนมาก เดินทางเข้าออกประเทศด้วยเครื่องบินเช่าเหมาลำและใช้สิทธิพิเศษในการเข้าออกประเทศ นอกจากนั้นยังสามารถยึดเงินสดภายในบ้าน 1 ล้าน 5 แสนบาท รถยนต์หรูกว่า 10 คัน สินค้าแบรนด์เนมอีกจำนวนมาก

ขณะที่ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เปิดเผยว่า หลังจากการสืบสวนเส้นทางการเงินจนพบว่าผู้ต้องหาคนจีนได้เข้ามาซื้อหมู่บ้านหรูและเป็นผู้บริหารเงินในวอลเล็ทด้วยตัวเอง ก่อนจะเอาเงินออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านจนพบว่าเข้าข่ายการกระทำผิดอาชญากรรมระหว่างประเทศจึงขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาใน 3 ข้อกล่าวหา คือ มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฟอกเงิน ส่วนบ้านที่ตรวจยึดไว้พบว่าได้จ้างคนไทย 2 คนที่พบว่าเป็นเจ้าของร้านขายของชำ เป็นนอมินีเปิดบริษัทนิติบุคคล 47 บริษัท ให้ทำธุรกรรมแทน

ส่วนผู้ต้องหาคนจีน 2 คนนี้ถือว่าเป็นหัวหน้าขบวนการ และเป็นผู้บริหารทั้งเงินในวอลเลท ส่วนภรรยาก็จะนำเงินสดไปฝากในตู้รับฝากเงินสดครั้งละ 5 หมื่นถึง 1 แสนบาท และภายในบ้านที่ซื้อไว้ใช้เป็นที่ตั้งของสมาคมคนจีน นอกจากนั้นยังพบซิมการ์ดของประเทศเพื่อนบ้าน และสกุลเงินต่างประเทศจำนวนมาก

ส่วนสถานที่ทำงานหลักของกลุ่มนี้จะตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยใช้ไทยเป็นที่พักอาศัย ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยง และจับผู้ต้องหาในระดับกลุ่มผู้บริหารได้ รวมทั้งยังพบความเชื่อมโยงกับเงินในกลุ่มคอลเซนเตอร์และอื่นๆ อีกจำนวนมาก

ส่วน พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รองผู้บัญชาการสอท. เปิดเผยว่า โครงการบ้านพักหรูที่เข้าตรวจค้นได้ขอหมายค้นตรวจสอบ 5 หลัง แต่ทางนิติบุคคลของโครงการได้แจ้งกับตำรวจว่ามีบ้านที่อยู่ในความครอบครองเจ้าของเดียวกันรวม 19 หลัง จึงได้เข้าตรวจสอบและพบมีคนจีน 22 คน เมียนมา 10 คน กัมพูชม 2 คน และคนพื้นที่สูง 1 คน จากการตรวจสอบวีซ่าเข้าประเทศ พบว่าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยว 41 คน ยังมีวีซ่าพิเศษ เข้าออกประเทศไทยไม่จำกัด วีซ่าบั้นปลายชีวิต และวีซ่านักท่องเที่ยว

นอกจากนั้นจากการวิเคราะห์เส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหาพบว่ายังมีบัญชีม้า และความเชื่อมโยงกับคดีอื่นๆ ทางตำรวจ สอท.ก็จะเก็บข้อมูลไว้เชื่อมโยงกับคดีอื่นๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการสืบสวน

ในระหว่างการแถลงข่าว มีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เข้าร่วมสังเกตการณ์การแถลงข่าว โดยตั้งคำถามถึง คณะทำงานเกี่ยวกับการรับมือเรื่องวีซ่าของกลุ่มทุนจีนสีเทาในอนาคตเพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำในประเทศไทยได้อย่างไร ซึ่งทางผบ.ตร. ระบุว่าเป็นเรื่องที่จะต้องไปร่วมพูดคุยกันในหลายหน่วยงานที่เกี่ยวกับการต่างประเทศ แต่สำหรับตำรวจในขณะนี้ ก็มีการบูรณาการของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เรื่องของหมายจับผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ และจะต้องพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น เช่นเดียวกับสถานทูตจีนที่ทำงานใกล้ชิดกับ ตม. ที่ร่วมกันจับกุมเครือข่ายทุนจีนผิดกฎหมายในลักษณะต่างๆ และกำชับตำรวจในทุกภาคส่วนที่ต้องช่วยกันเข้มข้นในการตรวจสอบดูแล

นายชูวิทย์ ยังกล่าวอีกว่า คดีนี้ต่างจากคดีของนายตู้ห่าว ที่จะเป็นอาชญากรรมจากกลุ่มคนจีนสีเทาที่เห็นได้อย่างชัดเจน แต่คดีนี้ถือว่าเป็นคดีที่ตรวจสอบได้ยาก หรือเรียกว่า Indirect Crime เนื่องจากมีความซับซ้อนในแผนประทุษกรรมทั้งในเรื่องการเงิน และวิธีการหลอกลวงแบบไฮบริดสแกม แต่ในการฟอกเงินก็จะใช้คนไทยมาเป็นนอมินีแทนเหมือนเดิมเพื่อให้จัดตั้งบริษัท รวมทั้งมีทั้งกลุ่มที่จะจ่ายเงินกับเจ้าหน้าที่

หลังจากนี้ก็เชื่อว่าไทยจะเป็นศูนย์กลางของกลุ่มทุนจีนสีเทาที่จะเข้ามาก่อเหตุอาชญากรรมเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากจีนมีการปราบปรามกลุ่มคนที่ทำผิดกฎหมายมากขึ้น และจะหนีหมายจับมาในไทย รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน เพราะจะไม่ไปในทวีปยุโรป ซึ่งการเข้ามาอยู่ในไทยของคนจีน จะเห็นได้ว่ามักจะรวมกลุ่มกันอยู่จำนวนมาก ซื้อบ้าน 10-20 หลัง

โดยกลุ่มคนจีนสีเทาเหล่านี้ยังพบว่ามีความเชื่อมโยงกับนายจ้าวเหว่ย โดยเงินก็จะหมุนเวียนอยู่กับกลุ่มธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้

ส่วนประเทศไทยก็เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มคนจีนเข้ามาในไทยได้ง่าย เพราะมีวีซ่าหลายรูปแบบ แต่ไม่มีการเชื่อมโยงระบบหมายจับของประเทศจีนเพื่อให้ตรวจสอบคัดกรองคนที่ผิดกฎหมายก่อนเข้าประเทศ

Related Posts

Send this to a friend