CRIME

’ทนายตั้ม‘ ยื่นหลักฐานเส้นเงินบัญชีม้า เอี่ยวตำรวจระดับสูงให้ บก.ปปป. สอบ

’ทนายตั้ม‘ ยื่นหลักฐานเส้นเงินบัญชีม้า เอี่ยวตำรวจระดับสูง – ญาติ ให้ บก.ปปป. สอบ เตือน ผบ.ตร. คิดให้ดี ปมตั้ง ‘อัจฉริยะ’ ฟ้องกลับ ด้าน ‘รองเต่า’ ขอให้สบายใจ ทำคดีไม่มีลำเอียง ยืนยัน ไม่ใช่เด็ก ผบ.ตร. ลั่น ”ไม่เคยเลียตูดนายเพื่อความเจริญก้าวหน้า“

วันนี้ (28 มี.ค. 67) เวลา 11:00 น. ที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม นำข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับเส้นเงินที่อ้างว่าเชื่อมโยงไปถึงนายตำรวจระดับสูง และญาติ ที่ได้มากจากบัญชีม้าเว็บพนัน และเรื่องส่วยที่ได้รับข้อมูลจากสายลับ มายื่นใหักับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.ให้ตรวจสอบ

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยว่าหลังรับเอกสารจาก นายษิทรา ขอยืนยันว่าพวกเรามีอาชีพตำรวจ ทำงานแบบตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ไม่เคยหนักใจอะไรที่จะทำคดี เพราะว่าเป็นหน่วยงานที่ต้องรับเรื่องจากทั่วประเทศอยู่แล้ว และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องรับเรื่อง และขอให้ไม่ต้องกลัวว่าที่นี่จะลำเอียง จะให้ความเป็นธรรมกับทุกคนเท่าเทียมกัน

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณทนายตั้มที่นำข้อมูลมาให้ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความสะอาดบ้านตัวเอง ถ้าตรวจสอบพบว่า ผบ.ตร.ทำความผิด ก็ต้องบอกว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย ไม่มีคำว่ายศใหญ่ยศเล็ก ทุกคนเท่าเทียมกัน ทุกคนสามารถเดินเข้ามาได้แค่หลักฐานอันเดียวก็สามารถจับนักการเมืองใหญ่ๆ ได้ วันนี้ทนายตั้มนำหลักฐานมาให้ ตนก็ดำเนินการตามหลักฐานทุกขั้นตอน ยืนยันไม่มีข้อขัดแย้งอะไรทั้งนั้น บ้านเมืองต้องอยู่ด้วยกฎหมาย

โดยวันนี้หลังจากได้หลักฐานมาแล้ว จะมีการตรวจสอบว่าเอกสารตรงนี้ถูกต้องหรือไม่ มีที่มาข้อเท็จจริงอย่างไร และพนักงานสอบสวนจะรบกวนทางทนายตั้มให้ไปชี้แจงเอกสารตรงนี้ก่อน เมื่อเอกสารมีข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ก็จะมีการขยายผลไปตามเส้นทางการเงินต่างๆ ตามที่ทนายตั้มร้องขอ และจะดำเนินการควบคู่กันไป เพราะหลักฐานที่มาก็เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครสามารถบิดเบือนประเด็นได้ อยากให้สบายใจตรงนี้

ส่วนประเด็นที่บอกว่าตำรวจมีข้อมูลนี้อยู่แล้วหรือไม่นั้น ต้องบอกว่า ตนยังไม่เห็นเอกสารของทนายตั้ม จึงไม่สามารถแจ้งได้ว่าตำรวจมีอยู่แล้วหรือไม่ และไม่อยากท้าวความถึงคดีก่อนๆ จะพูดถึงเฉพาะเรื่องวันนี้ มีหน้าที่อะไรก็ทำตามหน้าที่ เรื่องเส้นเงินต่างๆ ก็เป็นเรื่องของการตรวจสอบข้อเท็จจริง ใครผิดก็คือผิดถูกก็คือถูก และทำคดีให้ครบทุกมิติ

ส่วนหลายคนมองว่า ตนเองเป็นเด็กของ ผบ.ตร. ตนขอบอกว่า ตนเองเติบโตมาจากการทำงานโดยเฉพาะ ”ไม่เคยเลียตูดนายเพื่อความเจริญก้าวหน้า“ ตนโตมาด้วยสองมือสองขา และสมองของตน ตนทำงานตามอุดมการและตามความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย พร้อมย้ำว่าตนไม่ได้เป็นเด็กของ ผบ.ตร. หรือคนอื่นๆ ทุกคนจะรู้ว่าตนทำงานเพื่อส่วนรวมมาทั้งชีวิต ตนมีอุดมการณ์ของตัวเองที่จะเดิน ตนจะอยู่ตรงนี้เพื่อความถูกต้องและความเป็นธรรมกับทุกคน และย้ำว่า ไม่มีใครใหญ่กว่าประตูห้องขัง ขอให้ว่าไปตามข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน ไม่มีการช่วยใคร

ด้านนายษิทรา ระบุว่า วันนี้ที่มายื่นหลักฐานดังกล่าว ยังไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีในมาตรา157 กับใคร เพราะเราก็กลัวว่าเขาจะมีระยะเวลาเพียงแค่ 1 เดือนก่อน ส่ง ป.ป.ช. หากกอดสำนวนไว้ หรือไม่ได้อะไรคืบหน้า ก็จะกลายเป็นสำนวนโบ๋ ตนจึงนำให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติไปตรวจสอบเส้นเงินทุกเส้นที่ตนเองแถลงข่าวไปก่อน ว่าเป็นของจริง โอนให้กับญาติของ ผบ.ตร. ตำรวจ การทำบุญวัด และส่วยที่มีใบเสร็จ ว่าเป็นของจริงหรือไม่ เพื่อให้สืบสวนต่อว่าถึงการโอนไปทุกเดือนแบบนี้

ส่วนของผู้กระทำความผิด ก็จะให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ไปดำเนินการสืบสวนต่อ หลังจากได้เส้นเงินที่ถูกต้องจากธนาคารโดยตรง เพื่อนำมายืนยันว่าเป็นเส้นเงินจริงๆ จะได้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

นายษิทรา ยอมรับว่า จากการฟัง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ก็ทำให้สบายใจขึ้นมาก เพราะท่านบอกว่าถ้าเป็นตำรวจเลวก็มีหน้าที่กำจัดอยู่แล้ว ต่อให้จะเป็นผู้บังคับบัญชา

ส่วนกรณีที่มีเส้นเงินโยงไปถึงสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยนั้น นายษิทรา ระบุว่า ตัวสมาคมไม่ได้มีส่วนเกี่ยว แต่เป็นเรื่องของตัวบุคคลที่เป็นอุปนายกที่หมดวาระไปไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งมีการรับเงินจากบัญชีม้าสายเดียวกัน โดยย้อนดูตั้งแต่ปี 2020 และมากขึ้นในปีต่อๆ มา 3-5 หมื่นบาท จึงตั้งคำถามว่าทำไมจะต้องจ่ายเป็นรายเดือน เพื่อต้องการจะปิดเรื่องอะไรหรือไม่ และเส้นเงินที่มีก็มีเพียง 2-3 คนเท่านั้น ไม่ใช่นักข่าวส่วนใหญ่ และสมาคมไม่เกี่ยวข้อง เพราะได้ผู้บริหารชุดใหม่แล้ว และเงินเข้าบัญชีส่วนตัวโดยพักหลังรับเดือนละ 5 หมื่นบาท

นายษิทรา กล่าวอีกว่า ขอให้สื่อรอจับตาดูในช่วงอาทิตย์หน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และตนเองจะทำอะไรต่อไป รวมถึงในวันเสาร์นี้ จะมีไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่ง เวลา 10:00 น. พร้อมเรียนเชิญสื่อไป โดยนายษิทราขอไม่ตอบว่าเป็นวัดเดียวกับที่เปิดเผยเรื่องเส้นเงินหรือไม่ และขอให้รอติดตาม

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ตั้งทนายความ เพื่อฟ้องตนเองนั้น นายษิทรา ระบุว่า ทราบแล้วว่าเป็นทนายคนไหน จึงอยากให้ ผบ.ตร.คิดดูให้ดี เพราะ ทนายคนดังกล่าวเคยฟ้องร้องตนเองในข้อหาหมิ่นประมาทมาแล้วถึง 6 คดี และศาลก็ยกฟ้องตนเองทุกคดี จึงขอให้ ผบ.ตร. คิดดูให้ดีก่อน รวมถึงตนเองก็ฟ้องเขาไปเหมือนกันในคดีแพ่ง ซึ่งศาลตัดสินให้ชำระเงิน แต่ก็ยังไม่มีการชำระเงินให้ตนเองเลยจนถึงตอนนี้

นายษิทรา ยืนยันว่า ทนายคนดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสายตา และไม่ได้สนใจ เพราะวันนี้เราไม่ได้สนใจในเรื่องเล็กๆ ดังกล่าว แต่เรามาสนใจเรื่องใหญ่คือเรื่องส่วย พร้อมฝากบอกนายอัจฉริยะ ว่า ขอให้มายืนอยู่ข้างประชาชนดีกว่า วันนี้ประชาชนทุกคนเค้าอยากมาปฏิรูปตำรวจเรื่องส่วย จึงขอว่าอย่าไปรับแทน หรือไปรับใช้ตำรวจพวกนั้นเลย มารับใช้ประชาชนดีกว่า ออกมาแฉเรื่องส่วยกัน หากออกมายื่นข้างตน เรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาก็ลืมให้หมด และมารับใช้ประชาชน ซึ่งเชื่อว่าประชาชนอยากเห็นทนายความกับนายอัจฉริยะมาลุยเรื่องส่วย ก่อนทิ้งท้ายว่า ”พูดเองยังขนลุกเลย ว่าพูดออกไปได้อย่างไร“

ส่วนข้อมูลที่นำมายืนยันว่าทำเต็ม 100 แต่ข้อมูลตำรวจจะต้องไปหาเพิ่มด้วยตัวเอง ไม่ใช่อ้างอิงข้อมูลของตน จึงจะเป็นสำนวนคดีที่ชอบด้วยกฎหมาย ตนเป็นเหมือนคนชี้ช่องที่เส้นเงินมันไป

สำหรับหลายคนที่มองว่าตนเองออกมาป่วน จากการที่ตำรวจระดับสูง 2 คนทะเลาะกัน โดยตนเองมองว่า มีหลายช่องมาถามเรื่องความสนิทกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. และได้ตอบชัดไปหมดแล้ว แล้วแต่คนจะคิด สิ่งที่ตนทำผลประโยชน์ได้กับชาติหรือไม่ เรื่องอื่นขอให้ไม่ต้องไปสนใจ วันนี้มาทำเรื่องส่วยด้วยกันดีกว่า

ทั้งนี้ นายษิทรา ยืนยันว่า หากมีหลักฐาน เกี่ยวกับการกระทำความผิดของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่เป็นหลักฐานใหม่ก็จะทำต่อให้หนักใจแค่ไหนก็ตาม โดยตอนนี้ข้อมูลที่ตนเองมี และเกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังมีเท่ากับที่ตำรวจมี และแจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ในสายลับของตนเองก็ยังไม่มีอะไรใหม่เช่นกัน และย้ำว่าแม้ตนกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะสนิทกัน แต่หากทำผิดก็ช่วยอะไรไม่ได้ หากมีหลักฐานใหม่ แล้วไม่มีใครกล้าทำ ตนเองก็พร้อมที่จะทำ ส่วนการที่สายลับออกมาแฉข้อมูลให้ตนเองนั้น เพราะทนไม่ไหว และไม่อยากตกเป็นเครื่องมือแล้ว

นายษิทรา กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนเองมั่นใจพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ก่อนหน้านี้ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่พอได้คุยกันแล้วมั่นใจเพิ่มเป็น 40 เปอร์เซ็นต์ ขอรอดูการทำสำนวนก่อน หากไล่เส้นเงินได้อย่างที่ตนเองต้องการ ตนเองจะให้ใจ และเรียกว่า “ลูกพี่เต่า” แม้ขนาด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยังไม่เคยเรียกลูกพี่เลย

Related Posts

Send this to a friend