ตำรวจออกหมายจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ สูญเงิน 3.2 ล้านบาท

พล.ต.อ.สมพงษ์ เผย ตำรวจ สน.วังทองหลาง ออกหมายจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ สูญเงิน 3.2 ล้านบาท ชี้คดีออนไลน์มากสุดยังเป็นคดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า
พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แถลงกรณีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้ นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือ ‘ต๋อง ศิษย์ฉ่อย’ โอนเงินให้จำนวน 3 ล้าน 2 แสนบาท โดยความคืบหน้าล่าสุดนั้น พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ได้ขอศาลอนุมัติหมายจับ 1 คน เป็นบัญชีม้าแถวที่ 1 ที่มีพฤติการหลบหนี และออกหมายเรียกผู้ต้องหาซึ่งเป็นบัญชีม้าแถวที่ 2-4 จำนวน 10 คน โดยอายัดบัญชีทั้งหมดไว้แล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนนัดให้มารายงานตัวในวันที่ 26 และ 29 พฤษภาคมนี้
สืบเนื่องจากพฤติการณ์ของแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์นี้ แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยโทรไปหา นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม โดยอ้างว่าค้างชำระบัตรเครดิต หากไม่ได้ใช้บัตรเครดิตแสดงว่ามีบุคคลอื่นนำไปใช้ จึงแนะนำให้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ จากนั้นจึงต่อสายให้พูดคุยกับมิจฉาชีพคนที่สองแอบอ้างเป็นพันตำรวจเอกเสฏฐวุฒิ รอดจันทร์ ผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ เนื่องจากเห็นว่าไม่สะดวกเดินทางไปแจ้งความ ระหว่างนั้นมิจฉาชีพคนที่สามใช้ไลน์ตั้งชื่อว่า สภ.เมืองนครสวรรค์ แจ้งมาว่านายวัฒนาเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดและฟอกเงิน ให้โอนเงินมาตรวจสอบเส้นทางการเงิน โดย นายวัฒนา โอนเงินจากบัญชีธนาคาร 5 บัญชีจำนวน 10 ครั้ง เป็นเงินกว่า 3 ล้าน 2 แสนบาท ให้มิจฉาชีพไป
นายวัฒนา เปิดเผยว่า ที่ผ่านมารับรู้ข่าวสารว่ามีมิจฉาชีพก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนพยายามระวังตัวมาโดยตลอด แต่ก็พลาด จึงอยากให้ติดตามจับกุมมิจฉาชีพมาลงโทษเพื่อไม่ให้ไปก่อเหตุกับคนอื่นอีก
พล.ต.อ.สมพงษ์ เปิดเผยว่า ผลการปฏิบัติงานปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 14-20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์ 5 รูปแบบ ที่มากที่สุดคือ คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ รองลงมาคือหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ หลอกลวงให้กู้เงิน ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน และหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ตามลำดับ มีสถิติรับแจ้งความ 4,461 คดี ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 314 คดี มีมูลค่าความเสียหายกว่า 473 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 46 ล้านบาท
ทั้งนี้มีการระงับการทำธรุรกรรมและอายัดบัญชีตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ห้วงวันที่ 13 มีนาคม – 5 พฤษภาคม มีคดีทั้งหมด 30,439 คดี ขอระงับอายัดบัญชีจำนวน 16,597 บัญชี ทำเรื่องขออายัดเงินทั้งหมด 685,310,290 บาท สามารถอายัดเงินได้ 92,132,049 บาท ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ในห้วงวันที่ 17 มีนาคม – 17 เมษายน มีการออกหมายจับไป 264 คดี จับกุมได้ 170 คดี ได้ตัวผู้ต้องหา 137 คน