CRIME

ผบช.น.รับเกิดเหตุรถตำรวจชนผู้ชุมนุมจริง เหตุที่ไม่จอดเกรงจะเกิดอันตราย

ผบช.น.รับเกิดเหตุรถตำรวจชนผู้ชุมนุมจริง ไม่ใช่ชนแล้วหนี เหตุที่ไม่จอดเกรงจะเกิดอันตรายเตรียมตรวจสอบ ดำเนินคดีผู้ก่อความไม่สงบ สร้างความเสียหายแก่รถควบคุมผู้ต้องหา พร้อมยืนยันกรณีสถานทูตญี่ปุ่นเตือนระวังก่อการร้าย ครอบคลุมทั่วพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ใช่แค่ไทย

วันนี้ (13 ก.ย. 64) พลตำรวจโทภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ชี้แจงกรณีมีการแชร์คลิปเหตุการณ์รถควบคุมผู้ต้องหา เฉี่ยวชน ผู้ชุมนุม จนได้รับบาดเจ็บและหลบหนี ว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งรถดังกล่าวเป็นรถควบคุมผู้ต้องหา ของ สน.พลับพลาไชย 1 ซึ่งเมื่อวันที่ 12 กันยายน ที่ผ่านมา ส.ต.อ.นรเศรษฐ ผบ.หมู่ ผู้ช่วยพนักงานสอบสวน สน.พลับพลาไชย 1 ได้รับคำสั่งจาก ต้นสังกัด ให้นำรถควบคุมผู้ต้องหาของสน.พลับพลาไชย 1 คัน หมายเลขทะเบียน ฮจ 5399 กทม. ไปสนับสนุนภารกิจที่สำนักงานตำรวจแก่งชาติ (ตร.) และหลังจากการเสร็จภารกิจที่ ตร. ให้ไปสนับสนุนภารกิจ ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) 

จากนั้นเมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. ได้มีการสั่งกำลังพลบางส่วนที่สนับสนุนการปฏิบัติการควบคุมสถานการณ์ที่แยกดินแดง สามารถถอนกำลังกลับที่ตั้งได้ ส.ต.อ.นรเศรษฐ จึงได้ขับรถคันดังกล่าว เดินทางกลับ สน.พลับพลาไชย 1 เพื่อนำรถยนต์คันดังกล่าวมาเก็บที่ สน. และจะนอนพักที่ สน. เพื่อรอปฏิบัติหน้าที่ในวันรุ่งขึ้น โดยคิดว่ากลุ่มผู้ชุมนุม ผู้ก่อความไม่สงบได้ออกนอกพื้นที่แยกดินแดงแล้ว จึงได้ใช้เส้นทางถนนวิภาวดีรังสิต และเมื่อเวลาประมาณ 23.45 น. ได้ขับมาถึงบริเวณแยกดินแดง มีกลุ่มคนประมาณ 6-7 คน วิ่งออกจากข้างถนน เข้ามายังรถควบคุมผู้ต้องหาคันดังกล่าว และได้ใช้ไม้ วัตถุของแข็ง ตีบริเวณกระจกหน้าฝั่งคนขับ รวมถึงรอบๆ ตัวรถ และมีเสียงระเบิดดังขึ้นบริเวณรอบรถหลายครั้ง 

ส.ต.อ.นรเศรษฐ เกรงว่าจะได้รับอันตราย เนื่องจากไม่ได้พกพาอาวุธประจำกาย จึงพยายามขับรถออกจากบริเวณดังกล่าวโดยเร็วที่สุด ในจังหวะนั้นได้มีบุคคลเข้ามาขวางบริเวณด้านหน้ารถ เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนบุคคลดังกล่าว ต่อมารถคันดังกล่าวยางแตก ไม่สามารถขับต่อได้ จึงได้เลี้ยวเข้าจอดที่ รพ.พระมงกุฎ ส.ต.อ.นรเศรษฐ ได้เดินทางกลับไปที่ สน.พลับพลาไชย 1 แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนจะดำเนินการนำรถควบคุมผู้ต้องหาคันดังกล่าว มาเก็บรักษาไว้ที่ สน.พลับพลาไชย 1 ก่อนแจ้งให้พนักงานสอบสวน สน.ดินแดง ทราบเหตุดังกล่าว ลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน เวลาประมาณ 03.20 น. และแจ้งเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานกลาง ตรวจพยานหลักฐานรถคันเกิดเหตุแล้ว

ส่วนประเด็นชนแล้วหนีหรือไม่นั้น ไม่ใช่เป็นการชนแล้วหนี แต่ได้พยายามตรวจสอบสถานพยาบาลแล้ว ไม่มีใครเข้ารับการรักษา บุคคลใดที่ได้รับบาดเจ็บจากการดำเนินการของตำรวจ เป็นสิทธิ์ของคนที่ถูกกระทำ เหตุที่ไม่จอดรถเนื่องจากเกรงว่าจะเกิดอันตราย 

ส่วนการปฏิบัติหน้าที่เป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากผู้ชุมนุมมีการเผาทำลายทรัพย์สิน ทำให้เกิดความเสียหาย ก่อเหตุความวุ่นวาย ส่วนเหตุการณ์ที่เข้าหน้าที่ได้มีการเข้าไปในพื้นที่แฟลตดินแดงนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นไม่หยุด เป็นเหตุให้ตำรวจถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส ตนเองจะพูดเฉพาะข้อเท็จจริงเกิดขึ้นจากอะไรให้ประชาชนใช้ดุลยพินิจเอา ตำรวจทำในกรอบของกฎหมาย ไม่ใช่เอากำลังไล่ตีกลุ่มผู้ชุมนุม ตำรวจอยู่ในที่ตั้ง บางครั้งคนก่อเหตุเผาทำลายทรัพย์สินเจ้าหน้าที่จึงได้ใช้กำลังเข้าควบคุม อย่างเช่นการเผาทำลายซุ้มเฉลิมพระเกียรติฯ

ส่วนมาตรการป้องกันในการระงับเหตุเป็นอย่างไรนั้น พล.ต.ท.ภัคพงศ์ ระบุว่า ทุกวันนี้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ หลายราย และข้อเท็จจริงตำรวจไม่ได้ใช้อาวุธปืนจริงเลยสักครั้ง แต่เราใช้กระสุนยาง ใช้แก๊ส ส่วนการป้องกันไม่ให้มีการพกอาวุธเข้ามานั้น เจ้าหน้าที่มีการตั้งด่านสกัด ตำรวจพยายามตรวจค้นรถต้องสงสัย รถจักรยานยนต์เป็นหลัก ทั้งจุดตรวจจุดสกัด ก็เข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ได้พยายามรักษาความสงบและใช้กำลังตามสมควรแก่เหตุ แม้ว่าจะตรวจค้นก่อนการชุมนุมก็ตาม ดำเนินคดีภายหลังก็ทำ เหตุการณ์ลุกลามก็พยายามเข้าไประงับเหตุ

ด้านพล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษก บช.น. ระบุว่ากรณีที่มีการนัดหมายชุมนุมผ่านช่องทางออนไลน์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 13 ก.ย. 64 จะมีการรวมตัวกันของกลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มทะลุแก๊ส ยังไม่ทราบเวลา นัดหมาย ที่แยกดินแดง กรณีนี่ บช.น. ขอเตือนว่ากรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ที่ประกาศ เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด การชุมนุมหรือรวมกลุ่มทํากิจกรรมที่มีลักษณะเสี่ยงต่อการแพร่โรค จะเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 10 ลงวันที่ 31 ส.ค. 64 และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ อีกส่วนหนึ่ง โดยทาง บช.น. ได้จัดเตรียมกําลังเจ้าหน้าที่ตํารวจเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองไว้แล้ว

พล.ต.ต.ปิยะ ยังระบุอีกว่า จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2564 มีการจัดกิจกรรม 2 กลุ่มหลักๆ คือ 1.กลุ่มโมกหลวงริมน้ํา เวลา 19.00-19.30 น. ได้ทํากิจกรรมปราศรัย และสาดสีบริเวณ หน้าวัดปทุมวนาราม ฝั่งตรงข้ามสํานักงานตํารวจแห่งชาติ 2.กลุ่มต่อต้านเผด็จการและกลุ่มทะลุแก๊ส ที่บริเวณแยกดินแดง โดยเริ่มรวมตัวเวลา 17.30 น. โดยมีการนําแผงเหล็กมาปิดกั้นการจราจร จุดไฟเผาทรัพย์สินต่างๆ บริเวณทางขึ้นด่วนมุ่งหน้าบางนา ใต้ทางด่วน และบริเวณ หน้า ป.ป.ส. เป็นเหตุให้มีเพลิงไหม้เป็นจํานวนมาก เวลา 19.50 น. เจ้าหน้าที่จึงออกมาควบคุมเพลิง ระหว่างนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้หนังสติ๊ก วัสดุท่ออัดแก็ส ในการยิงลูกแก้ว ประทัดยักษ์ พลุไฟ ระเบิดต่างๆ บริเวณหน้ากรมดุริยางค์ทหาร และฝั่งถนนมิตรไมตรี เป็นระยะๆ

เจ้าหน้าที่ตํารวจจึงได้มีการประกาศเตือนให้กลุ่มฯ ยุติการกระทําและออกจาก พื้นที่ทั้งหมด แต่กลุ่มฯ ไม่ยอมเชื่อฟังและยังคงก่อความวุ่นวายต่อ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ ลุกลามบานปลาย เวลาประมาณ 22.00 น. เจ้าหน้าที่จึงต้องเข้าบังคับใช้กฎหมายและผลักดัน กลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกจากพื้นที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง 

ต่อมามีการจุดไฟเผา บริเวณหน้าสนามไทยญี่ปุ่นดินแดง ทำให้รถยนต์ไม่สามารถผ่านได้ และยังลงมาปิดถนน โรยตะปูเรือใบ บริเวณปากซอยบุญอยู่ ไม่ให้รถผ่านลงอุโมงค์ดินแดง จากการก่อความวุ่นวายของผู้ชุมนุมเป็น เหตุให้มีทรัพย์สินสาธารณะประโยชน์ได้รับความเสียหายจํานวนหนึ่ง 

ทั้งนี้มีการจับกุม ผู้กระทําความผิดพร้อมของกลาง เป็นอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หนังสติ๊ก และลูกแก้ว จํานวนหนึ่ง ส่งพนักงานสอบสวนดําเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมให้เลิกแล้วไม่ เลิกฯ ครอบครองและพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับ อนุญาตฯ หรือความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และยังตรวจพบของกลางที่ตกในบริเวณรอบ สามเหลี่ยมดินแดง เป็นระเบิดแสวงเครื่อง ระเบิดปิงปอง อีกส่วนหนึ่ง

ส่วนกรณีประชาชนถูกทำร้ายร่างกายมีผู้เสียหาย 1 ราย คือนายภวดล ประสิทธิ์ อายุ 20 ปี เข้าแจ้งความถูกผู้ชุมนุมทำร้ายที่บริเวณเชิงสะพานพระรามเก้า ทำให้ศีรษะแตก แขนขาถูกอาวุธมีดฟัน ทางพนักงานสอบสวน สน.ดินแดงรับเรื่องไว้แล้ว จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดตามกฎหมายต่อไป

ขณะที่ประเด็นการยิงเด็ก 14 ปีและอายุ 15 ปี นั้น ความคืบหน้าการสืบสวนมีคืบหน้าไปค่อนข้างมาก โดยได้คลิปภาพเหตุการณ์ที่เกิดเหตุเบื้องต้น อยู่ระหว่างสืบสวนให้ทราบตัวผู้กระทำผิดให้แน่ชัด เพื่ออกหมายจับกุมผู้กระทำความผิด

ด้าน พันตำรวจเอก กฤษณะ ยืนยันกรณีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแจ้งคนญี่ปุ่นให้ระมัดระวังเนื่องจากอาจมีการก่อการร้าย ว่า ได้ตรวจสอบกับทางสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทยเเล้วว่า เป็นการเเจ้งเตือนในพื้นที่ภาพรวมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยไม่ได้มีการเจาะจงเฉพาะพื้นที่ในประเทศไทยเป็นการแจ้งเตือนตามวงรอบ ไม่มีสิ่งใดบอกเหตุในการก่อการร้าย

Related Posts

Send this to a friend