โฆษกดีอี เตือนภัย ‘หลอกเทรดหุ้น’ ระบาดหนัก เผย 7 วัน 5 เคสสูญเงินรวมกว่า 11 ล้านบาท
วันนี้ (8 ก.ค. 68) นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า วันที่ 30 มิถุนายน – 6 กรกฎาคม 2568 ศูนย์ AOC 1441 รายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง 5 เคส รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 11,756,768 บาท
คดีที่ 1 หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เสียหาย 5,550,915 บาท โดยโฆษณาสอนลงทุนเทรดหุ้นผ่านเฟซบุ๊ก และให้เพิ่มเพื่อนผ่านไลน์ มีผู้แอบอ้างเป็นเจ้าของโบรกเกอร์มาเป็นผู้แนะนำการลงทุนให้ติดตั้งแอปพลิเคชันเทรดหุ้น ช่วงแรกถอนเงินจากระบบได้ พอโอนเงินเพิ่มขึ้นกลับไม่สามารถถอนเงินได้ อ้างว่าต้องชำระค่านักวิเคราะห์และค่าภาษีก่อน เมื่อชำระยอดเงินกลับไม่สามารถติดต่อได้
คดีที่ 2 หลอกให้โอนเงินทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 2,270,736 บาท โดยโฆษณาเปิดร้านค้าออนไลน์ผ่านเฟซบุ๊ก และให้เพิ่มเพื่อนทางไลน์ ชักชวนให้เปิดร้านค้าออนไลน์ผ่าน Tiktok โดยเลือกสินค้าที่สนใจเพื่อลงทุน ระยะแรกได้รับผลตอบแทนจริง ภายหลังให้ลงทุนมากขึ้นแต่ไม่สามารถถอนเงินได้ โดยแจ้งว่าต้องชำระค่าภาษีก่อน
คดีที่ 3 หลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัล มูลค่าความเสียหาย 1,350,069 บาท โดยมิจฉาชีพโทรอ้างเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แจ้งได้รับค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้าคืน ให้เพิ่มเพื่อนทางไลน์ และให้สแกน QR Code ทำตามขั้นตอน ต่อมาได้รับข้อความ SMS จากธนาคารแจ้งว่ายอดเงินในบัญชีได้ถูกโอนออกไปจนหมด
คดีที่ 4 หลอกลวงให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 1,442,350 บาท โดยโฆษณาสินเชื่อกู้เงินผ่านเฟซบุ๊ก และให้เพิ่มเพื่อนทางไลน์ หลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวแล้วแจ้งกลับมาว่ากรอกข้อมูลผิดพลาดทำให้ระบบไม่สามารถปล่อยสินเชื่อเงินกู้ได้ ต้องโอนเงินให้ระบบทำการแก้ไข พอโอนเงินไปจำนวนหลายครั้งต่อมาไม่สามารถติดต่อได้อีก
คดีที่ 5 หลอกโอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 1,142,698 บาท มิจฉาชีพติดต่อผ่านเฟซบุ๊กชักชวนหารายได้พิเศษ อ้างเป็นงานด้านการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสื่อ Social media ให้ทำแบบสอบถามความคิดเห็น ต่อมาถูกดึงเข้ากลุ่มไลน์ให้ทำกิจกรรมให้ดาวน์สินค้าที่สนใจเพื่อรับค่าคอมมิชชันเป็นการตอบแทน ช่วงแรกได้รับเงินจริง จึงโอนเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พอมีมูลค่าสูงจึงอยากถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนได้ อ้างว่าต้องชำระค่าภาษีก่อน
สำหรับผลการดำเนินงานของศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง 4 กรกฎาคม 2568 มีผลการดำเนินงานดังนี้
1.สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,878,283 สาย เฉลี่ยต่อวัน 3,069 สาย
2.ระงับบัญชีธนาคาร 754,352 บัญชี เฉลี่ยต่อวัน 1,233 บัญชี
3.ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 280,096 บัญชี (31.56%) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 172,955 บัญชี (22.93%) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 109,071 บัญชี (14.46%) หลอกลวงลงทุน 104,615 บัญชี (13.87%) หลอกลวงให้กู้เงิน 53,729 บัญชี (7.12%) คดีอื่น ๆ 75,866 บัญชี (10.06%)
นางสาววงศ์อะเคื้อ ย้ำว่า การลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีการรับรองโดยหน่วยงานน่าเชื่อถือ เป็นการเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง ขณะเดียวกัน หากมีการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่องค์กรต่าง ๆ หรือเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการ ควรตรวจสอบให้แน่ชัด โดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐจะไม่มีการติดต่อกับประชาชนโดยตรง หรือติดต่อผ่านทางโซเชียลมีเดีย และจะไม่มีการให้ติดตั้งแอปฯ ต่าง ๆ แต่อย่างใด ดังนั้น ไม่ควรดาวน์โหลดแอปฯ หรือกดลิงก์ที่ไม่รู้ที่มาแน่ชัดอย่างเด็ดขาด