ทลายแก๊งนักล่าสมบัติโบราณ ยึดวัตถุโบราณกว่า 1,000 ชิ้น
‘ตำรวจสอบสวนกลาง’ ร่วมกับ ‘กรมศิลปากร’ ทลายแก๊งนักล่าสมบัติโบราณ ตรวจยึดวัตถุโบราณกว่า 1,000 ชิ้น พร้อมเตือนประชาชนหากขุดพบเจอโดยบังเอิญให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้ (4 ก.ย. 66) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วย พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการตำรวจปราบปราม และตัวแทนจากกรมศิลปากร นำโดย นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ร่วมกันแถลงผลการทลายแก๊งนักล่าสมบัติโบราณ สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 3 ราย และตรวจยึดวัตถุโบราณกว่า 1,000 ชิ้น พร้อมจัดแสดงวัตถุโบราณที่ตรวจยึดได้ และอุปกรณ์สำรวจขุดค้นของกลางในคดีประกอบการแถลงข่าว
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวน กลางเปิดเผยว่า จากการสอบสวน พบกลุ่มคนร้าย 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.กลุ่มขุดของโบราณ 2.กลุ่มพ่อค้ารับซื้อของโบราณ จึงลงพื้นที่ตรวจค้น จำนวน 9 จุด จังหวัดเชียงใหม่ ลำปาง พะเยา และสุโขทัย ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 รายคือ 1.นายทศพรฯ อายุ 26 ปี ผู้ต้องหาตาม หมายจับศาลอาญาที่ 2759/2566 ลง 28 ส.ค. 66 จับกุมได้ในพื้นที่ ต.สร้อยฟ้า อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 2.นายทศพลฯ อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2760/2566 ลง 28 ส.ค.66 จับกุมได้ในพื้นที่ ต.สร้อยฟ้า อ.โพธาราม จ.ราชบุรี และ 3.นายศรีออนฯ อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2761/2566 ลง 28 ส.ค. 66 จับกุมได้ในพื้นที่ ต.ท่าวังทอง อ.เมืองพะเยา จ.พะเยา
โดยตั้งกล่าวหากระทำผิดฐานเป็นผู้เก็บได้ซึ่งโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ที่ซ่อนหรือฝังหรือทอดทิ้งโดยพฤติการณ์ ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเป็นเจ้าของได้และเบียดบังเอาโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุนั้น เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย และจำหน่าย เอาไปเสีย ซึ่งโบราณวัตถุ หรือศิลปวัตถุ โดยผิดกฎหมาย โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 7 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และจากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาที่ 1 และ ที่ 2 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3 ให้การปฏิเสธ
จากการตรวจสอบ และสืบสวนพบว่ามีบัญชีเฟซบุ๊กของกลุ่มผู้ต้องหา ลงโพสต์ภาพการขุดค้นหาวัตถุ พร้อมประกาศขายสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุจำนวนหลายรายการ ซึ่งกลุ่มคนร้ายมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการติดต่อขอซื้อสิ่งของคล้ายโบราณวัตถุดังกล่าว และนำส่งตรวจพิสูจน์ที่สำนักศิลปากร กรมศิลปากร ผลการทดสอบพบว่าวัตถุดังกล่าวเป็นวัตถุโบราณตามพระราชบัญญัติ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535) ซึ่งตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ห้ามไม่ให้มีการขุด ค้นหา หรือซื้อขายโบราณวัตถุ
นอกจากนี้ยังได้ตรวจยึดโบราณวัตถุได้กว่า 1,000 ชิ้น เครื่องสแกนโลหะ 11 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์การขุด สิ่งของคล้ายวัตถุ ศิลปวัตถุ อีกจำนวน 970 ชิ้น และสมุดบัญชีธนาคาร 4 เล่ม ซึ่งได้นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
นอกจากนี้ยังพบว่าบัญชีธนาคารของกลุ่มผู้กระทำความผิด มีรายได้หมุนเวียนต่อเดือนประมาณ 200,000 บาทและในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา พบเงินสดหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 10 ล้านบาท
พล.ต.ท.จิรภพ ระบุว่าขบวนการซื้อขายวัตถุโบราณในคดีนี้ มีกลุ่มผู้กระทำความผิดเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นกลุ่มขุดค้นหาวัตถุโบราณ และประกาศขาย ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถรวบรวมพยานหลักฐาน และออกหมายจับผู้ต้องหาได้ทั้ง 3 รายข้างต้น ส่วนอีก 2 ราย ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนหาพยานหลักฐาน และเส้นทางการเงินเพิ่มเติม ก่อนออกหมายจับต่อไป
ส่วนกลุ่มพ่อค้ารับซื้อของโบราณ ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบเป็นคนไทยทั้งหมด อยู่ในระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินการจับกุม โดยกลุ่มพ่อค้าที่รับซื้อวัตถุโบราณที่มีที่มาผิดกฎหมาย ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถานฯ เช่นเดียวกัน
นายพนมบุตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ขบวนการซื้อขาย และลักลอบขุดวัตถุโบราณเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และพบว่ามีเป็นจำนวนมาก โดยหลังจากนี้ ทางกลุ่มจะร่วมมือกับตำรวจสอบสวนกลาง กวาดล้างขบวนการเหล่านี้ให้หมดไป เพราะถือว่าเป็นการทำลายศิลปะวัฒนธรรมของประเทศชาติ ราคาของวัตถุโบราณบางชิ้นไม่อาจเทียบได้กับวัตถุโบราณที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
นายพนมบุตร ได้ระบุเพิ่มเติมว่า หากบุคคลใดได้ขุดค้นโดยบังเอิญแล้วพบว่า สิ่งของ หรือวัตถุที่ค้นพบนั้นเป็นเครื่องรางของขลัง พระเครื่อง หรือข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่มีลักษณะเหมือนปัจจุบัน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นวัตถุโบราณ และให้ดำเนินการแจ้งกรมศิลปากร สำนักงานศิลปากรทั้ง 12 สำนักงานทั่วประเทศ หรือวัฒนธรรมจังหวัด เพื่อส่งมอบและ ให้หน่วยงานเหล่านี้ดำเนินการตรวจสอบพิสูจน์โบราณวัตถุต่อไป โดยจะมีรางวัลให้แก่บุคคลที่สามารถขุดคนและส่งมอบให้กับทางราชการ
