SOCIAL RESPONSIBILITY

ซีพีเอฟ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำตลอดกระบวนการผลิต หมุนเวียนนำน้ำกลับมาใช้ใหม่

นายสุชาติ วิริยะอาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทฯ ตระหนักดีถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดทั้งพลังงานและน้ำ จึงให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนแผนการใช้ทรัพยากรและลดความเสี่ยงของธุรกิจ ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยในปี 2562 บริษัทฯสามารถลดปริมาณการดึงน้ำมาใช้ต่อหน่วยการผลิตได้ 6% หรือ 9 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถลดปริมาณการดึงน้ำโดยรวมได้ 36%เมื่อเทียบกับปีฐาน 2558 ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายปี 2568 ที่กำหนดไว้ 30%

“ซีพีเอฟ เดินหน้าตามแผนการลดปริมาณการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 และมีการดำเนินงานทุกธุรกิจ จนถึงปัจจุบันเราดำเนินงานได้เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ และจะมีการทบทวนเป้าหมายอีกครั้งหลังการประเมินผลการดำเนินงานในปีนี้” นายสุชาติ กล่าว 

สำหรับการใช้ทรัพยากรน้ำของ ซีพีเอฟ เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีการบำบัด การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และการแบ่งปันให้ชุมชน เช่น ธุรกิจฟาร์มเลี้ยงกุ้งของบริษัทฯ ที่บางสระเก้า จังหวัดจันทบุรี และฟาร์มร้อยเพชร จังหวัดตราด เป็นโครงการนำร่องในการติดตั้งเทคโนโลยีการบำบัดน้ำ เช่น ระบบไบโอฟลอค (Bio-Floc) ซึ่งเป็นการเติมจุลินทรีย์ลงในน้ำเพื่อบำบัดสารละลายไนโตรเจนที่เกิดจากของเสียที่กุ้งขับถ่ายออกมา ช่วยลดการเปลี่ยนถ่ายน้ำระหว่างการเลี้ยงกุ้งลงถึง 70% เทียบกับการเลี้ยงกุ้งโดยทั่วไป  รวมถึงการนำเทคโนโลยี Ultra Filtration (UF) มากรองน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว หมุนเวียนนำกลับมาใช้เลี้ยงกุ้งได้มากกว่า 90%  และกำลังเดินหน้านำความสำเร็จดังกล่าวไปขยายผลในฟาร์มอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจสัตว์น้ำ

สุชาติ วิริยะอาภา รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ซีพีเอฟ

อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ การนำเทคโนโลยี UF และ Reverse Osmosis มาใช้ในการกรองน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้ว เพื่อหมุนเวียนกลับมาใช้ในเครื่องทำระเหย (Evaporator) ในระบบทำความเย็น ที่โรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปหนอกจอก ซึ่งสามารถทดแทนน้ำจากแหล่งภายนอกได้ถึง 216,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี ลดค่าใช้จ่ายได้กว่า 1.7 ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ธุรกิจอาหารสัตว์ การเลี้ยงสัตว์บก และธุรกิจอาหาร ยังช่วยลดการดึงน้ำจากธรรมชาติ โดยมีการนำน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วหมุนเวียนกลับมาใช้ในกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการผลิต เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างพื้นถนน และล้างโรงเรือนเลี้ยงสัตว์กว่า 30 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 21% ของการดึงน้ำมาใช้ทั้งหมด

ในส่วนของการแบ่งปันน้ำให้ชุมชน ธุรกิจสุกรได้นำน้ำที่ผ่านการบำบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพไปกระจายส่งเป็น “น้ำปุ๋ย” ให้แก่ชุมชนรอบฟาร์มกว่า 447,000 ลูกบาศก์เมตร ครอบคลุมพื้นที่การเกษตร 3,650 ไร่ ช่วยบรรเทาปัญหาภัยแล้ง ช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูก และสร้างความมั่นคงให้กับชุมชน 

“การใช้ทรัพยากรน้ำและการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใช้น้ำของบริษัทฯ แล้ว ยังช่วยลดการดึงน้ำจากธรรมชาติและสามารถหมุนเวียนน้ำกลับมาใช้ใหม่ได้มากขึ้น” นายสุชาติ กล่าว 

นายสุชาติ กล่าวต่อไปว่า ซีพีเอฟ ยังประเมินความเสี่ยงด้านน้ำด้วยเครื่องมือ Aqueduct Water Risk Atlas 3.0 ซึ่งพัฒนาโดย World Resources Institute และเป็นเครื่องมือที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล เพื่อลดความเสี่ยงในการขาดแคลนน้ำจากสถานที่ตั้งของธุรกิจบริษัทและธุรกิจของคู่ค้า ช่วยในการเลือกสถานที่ตั้งของธุรกิจและการทำแผนจัดการน้ำได้อย่างเหมาะสม

บริษัทฯ ยังสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับใช้น้ำ รวมถึงการส่งบุคลากรลงพื้นที่เพื่อสนับสนุนคู่ค้าธุรกิจในการจัดทำแผนรองรับความเสี่ยงจากการขาดแคลนน้ำ และผลกระทบจากภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนโดยรอบทั้งปัจจุบันและในอนาคต

Related Posts

Send this to a friend