PUBLIC HEALTH

เตือน โรคโปลิโอ อาจกลับมาระบาดอีกครั้ง ย้ำผู้ปกครองพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีน

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานมูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ และกรรมการสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย เตือน ‘โรคโปลิโอ’ อาจกลับมาระบาดอีกครั้ง จากอดีตที่เคยกวาดล้างได้สำเร็จกว่า 99% มาแล้ว ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2564-2565 มีรายงานว่าพบการระบาด ของไวรัสโปลิโอสายพันธุ์ WPV1 ในทวีปแอฟริกา อัฟกานิสถาน และปากีสถาน ขณะที่ปี 2565 มีรายงานพบการแพร่ระบาด ของไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ชนิดที่ 2 (cVDPV2) ในประเทศอินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา และอิสราเอล

ประกอบกับโรคโปลิโอไม่มียารักษา เสี่ยงอัมพาตแขนขาลีบตลอดชีวิต พร้อมกันนี้ย้ำผู้ปกครองควรพาบุตรหลาน เข้ารับ ‘วัคซีนป้องกันโปลิโอ’ เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ที่กำหนดไว้ตามสูตร 2 IPV + 3 OPV ทั่วประเทศ เนื่องในงานวันแห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก 2566 (หรือ World Immunization Day 2023)

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวว่า ‘โรคโปลิโอ’ หรือที่เรียกว่า ‘โรคอัมพาตแขนขาลีบ’ เกิดจากเชื้อไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) เข้าไปทำลายระบบประสาทส่งผล ให้เกิดภาวะอัมพาต พิการ หายใจลำบาก และอาจเสียชีวิตในที่สุด โดยอาการของผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ จะแตกต่างกันมาก ซึ่งกว่าร้อยละ 95 จะไม่มีอาการแสดงใดๆ ร้อยละ 1-2 จะแสดงอาการเพียงเล็กน้อย หรือมีอาการคล้ายโรคหวัด ขณะที่ร้อยละ 1-2 จะมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เช่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดบริเวณต้นคอ คอแข็ง อ่อนเพลีย มึนงง แต่ยังสามารถหายเป็นปกติได้ (โชคดี) ขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มสุดท้ายจะมีความรุนแรงมากที่สุด พบได้น้อยประมาณ 1 ใน 500 -1,000 ราย ที่ติดเชื้อไวรัสโปลิโอ โดยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดภาวะอัมพาตเฉียบพลัน และถาวร ไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้ (โชคร้าย)

ปัจจุบันสถานการณ์การระบาดของโรคโปลิโอ เริ่มกลับมาระบาดอีกครั้งในหลายประเทศ จากอดีตที่เคยกวาดล้างได้สำเร็จกว่า 99% มาแล้ว ล่าสุดข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2564 – 2565 มีรายงานว่าพบการระบาด ของไวรัสโปลิโอสายพันธุ์ WPV1 ในทวีปแอฟริกา อัฟกานิสถาน และปากีสถาน ขณะที่ปี 2565 มีรายงานพบการแพร่ระบาด ของไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ชนิดที่ 2 (cVDPV2) ในประเทศอินโดนีเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา และอิสราเอล ผู้ติดเชื้อไวรัสโปลิโอทำให้เกิดการอักเสบของไขสันหลัง และเกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อแขนขา ซึ่งพบในหลายประเทศหลังจากที่ ไม่มีรายงานผู้ป่วยโรคโปลิโอ มาเป็นระยะเวลานานหลายปี จึงเป็นเหตุให้หน่วยงานด้านการแพทย์ และสาธารณสุขของประเทศไทย เกิดความกังวลว่าอาจเกิดการระบาดของโรคนี้มายังประเทศต่างๆ ในอาเซียน รวมถึงประเทศไทย

สำหรับโรคโปลิโอ มักพบได้ในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และพบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเชื้อสามารถติดต่อจากคนหนึ่ง ไปยังอีกคนหนึ่งได้ง่าย หากผู้ที่ได้รับเชื้อยังไม่มีภูมิคุ้มกัน โดยติดต่อได้จากการกลืนกินหรือสูดเอาเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเชื้อจะออกมากับสารคัดหลั่งบริเวณลำคอ ในขณะที่ผู้ป่วยไอหรือจาม หรือออกมากับอุจจาระแล้วเข้าสู่ร่างกายผู้อื่นทางปาก แล้วแพร่สู่ผู้อื่นผ่านการกลืนเชื้อที่ติดอยู่ที่คอจากลมหายใจ หรือจากการกลืนเข้าไปพร้อมกับน้ำ หรืออาหารที่มีเชื้อไวรัสโปลิโอปนเปื้อนอยู่

หลังจากที่เชื้อไวรัสโปลิโอเข้าสู่ร่างกาย ของผู้ที่ไม่มีภูมิต้านทาน เชื้อไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในบริเวณคอหอยและลำไส้ และอีก 2-3 วัน เชื้อก็จะกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ ที่ทอนซิลและที่ลำไส้ และเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไข้ ซึ่งส่วนน้อยที่เชื้อไวรัส จะผ่านจากกระแสเลือดเข้าสู่ไขสันหลัง และสมองโดยตรง หรือบางส่วนอาจผ่านไปไขสันหลัง โดยทางเส้นประสาท และหากเชื้อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้ว เชื้อก็จะเข้าไปทำลายเซลล์ประสาทสั่งการ (Motor neuron) ที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆ ทั้งกล้ามเนื้อเรียบ (เป็นกล้ามเนื้อของอวัยวะภายในที่ทำงานได้เอง โดยไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับของสมอง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อของลำไส้) และกล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อแขน ขา) ทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้ เกิดอาการอ่อนแรง หรือเกิดอัมพาตในที่สุด

รศ. (พิเศษ) นพ.ทวี กล่าวย้ำว่า โรคโปลิโอ เป็นโรคที่ไม่มียารักษา แต่ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นวัคซีนพื้นฐาน และวัคซีนจำเป็นที่เด็กทุกคนควรได้รับ ซึ่งผู้ปกครองควรใส่ใจพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนโปลิโอตามโปรแกรมที่กำหนด โดยวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ มี 2 ชนิด คือ ชนิดรับประทาน (Oral Polio Vaccine: OPV) ซึ่งเป็นวัคซีนเชื้อเป็น และชนิดฉีด (Inactivated Poliomyelitis Vaccine: IPV) ซึ่งเป็นวัคซีนเชื้อตาย กระทรวงสาธารณสุขได้มอบนโยบาย และชี้แจงโครงการความร่วมมือ ขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ ตามพันธสัญญานานาชาติ ด้วยการนำร่องให้วัคซีนโปลิโอ สูตร 2 IPV + 3 OPV ให้กับ สสจ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ล่าสุด กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบนโยบายและชี้แจง โครงการความร่วมมือขับเคลื่อนการกวาดล้างโรคโปลิโอ ตามพันธสัญญานานาชาติ ด้วยการนำร่องให้วัคซีนโปลิโอ สูตร 2 IPV + 3 OPV ให้กับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ดังนี้

1.แนะนำให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด (IPV) จำนวน 2 เข็ม เมื่อเด็กอายุ 2 เดือน และ 4 เดือน
2.ให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน หรือชนิดหยอด (OPV) จำนวน 3 ครั้ง เมื่ออายุ 6 เดือน, 18 เดือน และ 4 ปี

เนื่องด้วย วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอทั้ง 2 ชนิด สามารถกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันได้ดี และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคโปลิโอสูง โดยวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน เป็นวัคซีนเชื้อเป็น ประกอบด้วยสายพันธุ์ 1 และ 3 เป็นการเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันเฉพาะที่บริเวณเยื่อบุลำคอ และลำไส้อย่างรวดเร็วและอยู่ได้นาน ขณะที่วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด เป็นวัคซีนเชื้อตาย ไม่สามารถสร้างภูมิได้ทันทีหลังฉีด แต่สามารถครอบคลุมครบทุกสายพันธุ์ 1, 2, 3 โดยเฉพาะสายพันธุ์ CvdPV2 ซึ่งยังปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม

อีกทั้งวัคซีนชนิดฉีดยังไม่ก่อให้เกิด VAPP (Vaccine-associated paralytic polio) หรือภาวะอ่อนแรงที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ จากวัคซีนชนิดรับประทาน ซึ่งเป็นภาวะที่พบได้น้อย แต่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กในระยะยาว โดยมีอัตราการเกิด 1 ต่อ 900,000 ราย ที่ได้รับวัคซีน OPV ครั้งแรก และลดลงถึง 25 เท่า ในการได้รับวัคซีน OPV ครั้งต่อไป ซึ่งภาวะอ่อนแรงดังกล่าว จะไม่เกิดขึ้นในผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด โดยคาดการณ์ว่าในอนาคตอีก 10-15 ปีข้างหน้า อาจจะมีการยกเลิกการใช้วัคซีน ปัองกันโรคโปลิโอชนิดรับประทาน แต่อาจนำชนิดกินมาใช้ฉีดปูพรม ในกรณีที่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโปลิโอ

แม้ปัจจุบันประเทศไทย ยังไม่มีผู้ป่วยโรคโปลิโอเป็นเวลานาน แต่เชื้อโปลิโอสายพันธุ์ cVDPV2 ยังคงปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม ของประเทศเพื่อนบ้านของไทย ดังนั้นจึงควรมีความระมัดระวังไม่ให้สัมผัสเชื้อโปลิโอ โดยการรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด โดยแนะนำให้เด็กไทยทุกคน ต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ ตามตารางการให้วัคซีนโปรแกรม ที่กำหนดไว้ตามสูตร 2 IPV + 3 OPV ทั่วประเทศ รวมถึงผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนชนิดฉีด หรือยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์ cVDPV2 เพราะหากความครอบคลุม ของการได้รับวัคซีนในโรคที่ป้องกันได้ ด้วยวัคซีนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว อาจทำให้โรคหวนกลับมาระบาดได้อีกครั้ง

Related Posts

Send this to a friend