ราชทัณฑ์รับเรือนจำแออัด เสี่ยงติดเชื้อตอน อาบน้ำ-ทานอาหาร เร่งตรวจเชิงรุก เพื่อความปลอดภัยผู้ต้องขัง
วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 เวลา 11:00 น. นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมคณะ แถลงข่าวความคืบหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน
นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ด้วยปัจจุบันกรมราชทัณฑ์มีผู้ต้องขัง 311,540 รายซึ่งนับว่าเป็นจำนวนสูงเมื่อเทียบกับจำนวนเจ้าหน้าที่ประมาณ 13,000 คนและพื้นที่เรือนจำที่มีความเก่าคับแคบ จนทำให้มีความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างแออัด ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ ได้พยายามสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้ออย่างเต็มความสามารถ ด้วย 3 มาตรการ คือ 1.คนในห้ามออก 2.คนนอกห้ามเข้า และ 3.การกักตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ ผู้ต้องขังไปโรงพยาบาล และผู้ต้องขังออกศาล เป็นระยะเวลา 21 วัน และต้องมีการ SWAB เพื่อตรวจเชื้ออย่างน้อย 2 ครั้งคือก่อนเข้าห้องกักโรค และก่อนพ้นระยะกักตัว จนสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อทั้ง 2 ระลอกได้เป็นอย่างดี โดยมีสถิติผู้ติดเชื้อเพียงหลักหน่วยและหลักสิบคน ซึ่งสอดคล้องกับยอดผู้ติดเชื้อภายนอกเรือนจำ
จนกระทั่งระลอกปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดกว้างขวาง พบการติดเชื้อในผู้ต้องขังจำนวนที่สูงขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก นายอายุตม์ กล่าวต่อว่าเรือนจำและทัณฑสถาน อาจดูเหมือนเป็นพื้นที่ปิดสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้วการดำเนินงานราชทัณฑ์ไม่สามารถควบคุมปริมาณบุคคลเข้า-ออกได้ 100% เนื่องจากเป็นปลายทางของกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่สามารถปฏิเสธการรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ และการนำตัวผู้ต้องขังออกศาลได้ รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเอง ที่ต้องมีการหมุนเวียนการปฏิบัติงานอยู่ทุกวัน อีกทั้งสายพันธุ์ที่มีการแพร่ระบาดในปัจจุบันยังมีระยะฟักตัวที่นานขึ้น และไม่แสดงอาการ ทำให้อาจเกิดการเล็ดลอดของเชื้อหลังจากผ่านพ้นระยะกักตัวได้โดยง่าย
อย่างไรก็ตามกรมราชทัณฑ์จะดำเนินการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นมากขึ้นโดยใช้มาตรการ Bubble and Seal และตรวจหาเชื้อเชิงรุก โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยง ต้องเร่งการ SWAB ให้ครบ 100% เรือนจำและทัณฑสถานที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อ ให้เร่งคัดแยกผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มสีเขียว สีเหลือง และสีแดง ตามเกณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข โดยเร่งดำเนินการคัดกรองให้เร็ว เอกซเรย์ให้เร็ว และคัดแยกให้เร็ว เพื่อการรักษาที่รวดเร็วอันจะเป็นประโยชน์ในการรักษาลดการแพร่เชื้อและป้องกันการเสียชีวิตได้ในที่สุด
ส่วนเรือนจำและทัณฑสถานอื่น ๆ ทั่วประเทศ ให้เตรียมพร้อมรับมือ จัดพื้นที่เตรียมคัดแยกกลุ่มผู้ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังต่างๆ ออกจากกัน และเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามในกรณีจำเป็น พร้อมกันนี้ยังได้จัดตั้งศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท. ) ขึ้นเพื่อรับมือแก้ไขและจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด -๑๙ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มีการรวบรวมข้อมูลเพื่อรายงานยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้มีความชัดเจน และการจัดหายาเวชภัณฑ์ต่างๆให้เพียงพอ รวมถึงเป้าหมายสำคัญคือการเร่งจัดหาวัคซีนแก่เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังให้ครบทุกคน ทั้งนี้อยากให้เชื่อมั่นในการดำเนินการของกรมราชทัณฑ์ ว่าเป็นการดำเนินการควบคุมเพื่อแก้ไข และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังตามหลักสิทธิมนุษยชน และจะรักษาดูแลผู้ต้องขังทุกคนอย่างเต็มศักยภาพให้ดีที่สุด
ด้านนายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท. ) เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นอกจากจะเป็นวิกฤติครั้งใหม่ที่ทั่วโลกต้องเผชิญแล้ว ในครั้งนี้ยังมีการแพร่ระบาดที่ค่อนข้างรวดเร็ว และตรวจพบเชื้อได้ลำบากกว่าที่ผ่านมา ในบางรายต้องตรวจเชื้อซ้ำถึง 3 ครั้ง จึงจะพบเชื้อ แม้ว่าจะมีนโยบายให้ผู้ต้องขังทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา แต่ในทางปฏิบัติเวลาอาบน้ำ รับประทานอาหาร ก็จำเป็นที่จะต้องถอดหน้ากากอนามัย อันเป็นจุดที่สามารถแพร่กระจายเชื้อได้ ซึ่งเมื่อมีการพบผู้ติดเชื้อในเรือนจำรายแรก ๆ กรมราชทัณฑ์ได้เร่งดำเนินการสอบสวนโรค และเร่งการตรวจหาเชื้อให้ครบ 100% เพื่อเป็นการค้นหาเชิงรุกอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการเอกซเรย์ปอดในผู้ติดเชื้อทุกราย เพื่อแยกกลุ่มผู้ติดเชื้อตามลักษณะอาการ และเร่งการรักษาอย่างทันท่วงที
สำหรับในประเด็นการรักษาดังกล่าว กรมราชทัณฑ์ได้เตรียมความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามเรือนจำ การจัดหายาต้านไวรัส และในส่วนของผู้ต้องขังที่ตรวจไม่พบเชื้อในครั้งแรก จะต้องทำการตรวจหาเชื้อซ้ำทุกๆ 7 วันจนกว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะปกติ โดยต่อจากนี้จะมีการตรวจค้นหาเชิงรุกต่อเนื่อง และอาจจะมียอดผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น แต่อยากให้มั่นใจว่าเป็นไปเพื่อให้ผู้ต้องขังทุกคน ได้รับการรักษาที่รวดเร็วจนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด
ด้านนางสาวโศรยา ฤทธิอร่าม ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง กล่าวว่า ทัณฑสถานหญิงกลางได้แบ่งการควบคุมออกเป็น 2 แดนคือแดนแรกรับและแดนเด็ดขาด แดนแรกรับมีผู้ต้องขังประมาณ 1,500 รายซึ่งมีการดำเนินการตรวจคัดกรองผู้ต้องขังทั้งแดนไปแล้วจำนวน 2 ครั้งคือในวันที่ 8 พฤษภาคมและ 15 พฤษภาคม
แดนเด็ดขาด เป็นแดนที่มีจำนวนผู้ต้องขังประมาณ 3,000 คน มีการตรวจคัดกรองและพบผู้ติดเชื้อจำนวน 1,039 ราย ตามที่กรมราชทัณฑ์ได้ชี้แจงไปแล้ว โดยผู้ต้องขังที่ติดเชื้อ ทางทัณฑสถานหญิงกลาง ได้ดำเนินการส่งตัวไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสนามของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เรียบร้อยแล้ว และปัจจุบันผู้ต้องขังที่ไม่พบการติดเชื้อจำนวน 3,400 ราย ได้ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ภายใต้มาตรการ Bubble and Seal เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ และมีการตรวจคัดกรองเจ้าหน้าที่และผู้ต้องขังทุกๆ 7 วัน จนกว่าจะไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม รวมทั้งได้ปฏิบัติตามมาตรการของกรมควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์การระบาดในทัณฑสถานได้คลี่คลายลงแล้ว