PUBLIC HEALTH

นักวิชาการ เผย ปัญหาสุขภาพจิตกำลังถูกละเลยในสังคมไทย ชี้ การป้องกัน-ให้คำปรึกษา ช่วยได้

สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 16 ในประเด็น “ความเป็นธรรมด้านสุขภาพ โอกาส และความหวังอนาคตประเทศไทย” โดยมีการจัดเวทีการพูดคุยหัวข้อ การส่งเสริมพัฒนาสุขภาวะทางจิต “การออกกำลังใจ … ใครก็ทำได้”

ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต เปิดเผยว่า สุขภาพจิตกับสุขภาพกายสำคัญไม่ต่างกัน แต่สุขภาพจิตมักถูกมองข้าม เพราะอาจเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น คนมักจะนึกถึงสุขภาพจิตเมื่อสถานการณ์ไปถึงเส้นของปัญหาแล้ว จากการพูดคุยกับผู้ที่ทำงานในระดับพื้นที่ พบว่าคำว่าสุขภาพจิตยังเป็นคำที่ยังไม่กลืนเข้ากับสังคมไทย

ผศ.ดร.ณัฐสุดา กล่าวว่า ปลายทางที่จะเป็นตัวชี้วัดที่ชัดที่สุดของปัญหาสุขภาพจิต คือ การฆ่าตัวตาย ซึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ที่ผ่านมาจุฬาฯ สัมภาษณ์คนที่อยู่ในภาวะวิกฤตทางอารมณ์ หรือคนที่อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้ พบว่ามีตัวกระตุ้นคือ

1.การเรียน ซึ่งเชื่อมไปสู่การทำให้คนที่เขารักเสียใจ

2.เรื่องเงินและสภาพเศรษฐกิจ

3.ความสัมพันธ์ของเพื่อน คนรัก หรือ support system ที่แยกจากกัน

งานวิจัยทุกชิ้นยืนยันว่า Prevention หรือการป้องกันช่วยได้ แต่จะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้เข้าถึง ทั้งการเพิ่มบริการปฐมภูมิ เช่น แค่รู้สึกไม่ดี หรือรู้สึกอยากพูดคุยก็สามารถทำได้ หรือมุมมองต่อเรื่องการออกกำลังใจ ประเทศไทยดีพอแล้วหรือยัง ไม่ใช่ต้องรอให้รู้สึกไม่ไหวก่อนแล้วจึงจะเข้าถึง ปัจจุบันตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น สัมพันธ์ต่อปริมาณความต้องการความช่วยเหลือและความเพียงพอของผู้ให้ความช่วยเหลือด้วย

“การเข้าถึงบริการ การเข้าถึงนักจิตวิทยา การเข้าถึงการให้คำปรึกษา-พูดคุย ช่วยคนได้จริง ๆ แต่ปัจจุบันยังเข้าถึงเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น ดังนั้นคำถามคือเมื่อใดคนทุกคน-คนทุกกลุ่มในประเทศจะเข้าถึงได้” ผศ.ดร.ณัฐสุดา กล่าว

นายชูไชย นิจไตรรัตน์ เลขาธิการมูลนิธิแพธทูเฮลท์ กล่าวว่า เมื่อพูดถึงสุขภาพจิต อาจแบ่งได้ว่าสุขภาพดีหรือไม่ดี เราจะทำอย่างไรให้สุขภาพจิตเป็นไปในเชิงบวก ประเด็นคือคนชั้นกลางอาจเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตได้ง่าย แต่หากเป็นชุมชนคนบ้าน ๆ การพูดคุยหรือเชิญชวนให้ออกกำลังใจเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย การแปลความไม่ง่าย โจทย์คือจะทำอย่างไรให้คนจำนวนมาก หรือคน 90% ของประเทศมีจิตใจที่แข็งแรงได้จริง

จากการทำงานในชุมชน พบว่า ข่าวสารหรือเหตุที่ปรากฏในปัจจุบันจำนวนมากเป็นผลพวงปลายทางจากที่คนในชุมชนเผชิญความเปราะบางในชีวิต ทั้งจากปัญหาข้าวยากหมากแพง อาชีพ ต้นทุนการศึกษา และไปพัวพันกับปัญหายาเสพติด ส่งผลกระทบตั้งแต่ในบ้าน เช่น การส่งต่อความเครียดถึงกัน และเมื่อก้าวเท้าออกจากบ้าน ก็เจอสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดความเครียดอีก เหล่านี้ก่อรูปให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ฉะนั้นการทำงานในชุมชนต้องใช้ศาสตร์เพื่อเชื่อมโยงให้คนในชุมชนเอาไปใช้ในชีวิตได้จริง

ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สุขภาพจิตเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจ อาจนิยามง่าย ๆ ว่ามีความสุขกับชีวิตมากขนาดไหน พอใจกับสิ่งที่พบเจอในชีวิตประจำวันขนาดไหน มีอารมณ์ทางบวก มีกำลังใจมากขนาดไหน และเมื่อพูดถึงสุขภาพจิตในสถานที่ทำงาน จะนึกถึงเรื่องความเครียดในที่ทำงาน ต้องมองไปที่ภาพรวมว่าสิ่งเหล่านี้สะสมจนกลายเป็นความทุกข์ทรมานในการทำงานหรือไม่ นำไปสู่ภาวะหมดไฟ

ข้อมูลจากพนักงานในประเทศไทยจำนวน 1,000 คน พบว่า พนักงานส่วนใหญ่รู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว หรือเมื่อไปถึงที่ทำงานแม้ว่าจะยังไม่เริ่มทำงานแต่ก็รู้สึกว่าทำงานมาทั้งวันแล้ว ขณะที่เรื่องช่วงวัย พบว่า Gen-Z ซึ่งอาจเป็น first jobber หรือการทำงานเป็นครั้งแรก มีความรู้สึกเหนื่อยล้าหรือภาวะหมดไฟที่สูงกว่าคน Generation อื่น และพบอีกว่าเพศหญิง และ LGBTQ+ มีภาวะความเครียดและความเหนื่อยหน่ายทางอารมณ์ที่สูงกว่าเพศชาย

“นโยบายองค์กรที่มุ่งเน้นไปที่ตัวเลขหรือผลลัพธ์โดยไม่แคร์คนทำงาน คือสิ่งที่พนักงานเครียดมาก และที่ตอบตรงกันมากที่สุดคือ ‘หัวหน้า หัวหน้า หัวหน้า’ คำถามคือเราพัฒนาศักยภาพผู้นำของหัวหน้าเพียงพอแล้วหรือไม่ สิ่งที่จะทำให้คนทำงานไม่เครียดคือการมีหัวหน้าที่เข้าใจและคอยถามความรู้สึกของเขา การให้ทักษะแก่หัวหน้าเพื่อดูแลคนในทีมได้เป็นสิ่งสำคัญ ตลอดจนการสร้างนโยบายยืดหยุ่นในการทำงาน และ the Right to disconnect ที่ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยว่าจะไม่ต้องตอบอีเมลในช่วงเวลาค่ำและได้พักผ่อนจริง ๆ” ดร.เจนนิเฟอร์ กล่าว

น.ส.กันตพร ขจรเสรี ผู้ร่วมก่อตั้งมายด์เวนเจอร์ กล่าวว่า กรมสุขภาพจิตได้ทำงานวิจัยพบว่ามีวัยรุ่นและเยาวชนไทย 1 ใน 3 มีความเสี่ยงต่อการซึมเศร้า และถึงแม้ว่าเด็กและเยาวชนจะยังไม่เข้าสู่โลกของการทำงานแต่ก็มีภาวะความเครียดไม่แพ้กัน จากการเก็บข้อมูลเยาวชนกว่า 900 คน พบว่าวิธีการรับมือกับความเครียด คือ เล่นเกม เล่นโทรศัพท์ และฝืนยิ้ม เพราะไม่มีคนคุยด้วย และไม่มีเครื่องมือในการดูแลสุขภาพจิตตัวเอง ส่วนปัญหาที่พบบ่อยในวัยนี้ คือ การค้นหาตัวเอง โดยเฉพาะช่วงตัดสินใจเข้ามหาวิทยาลัยแล้วความต้องการไม่ตรงกับผู้ปกครอง ตลอดจนการเปรียบเทียบกับคนอื่นจนมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง

Related Posts

Send this to a friend