KNOWLEDGE

กสศ.เปิดเวทีสร้างหลักประกันการศึกษา ในระดับอุดมศึกษา แก้ปัญหาเด็กยากจน สอบติดแต่ไม่มีเงินเรียน

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)และกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เปิดเวทีความร่วมมือ ‘สู่เส้นทางหลักประกันการศึกษา TCAS66’ กับการพัฒนาแนวทาง สร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษา พร้อมกันนี้ได้ผนึกพลังความร่วมมือ เพื่อร่วมแก้ปัญหา ‘สอบติดแต่ไม่มีเงินเรียน’ ผ่านการสร้างระบบ หลักประกันโอกาสทางการศึกษา 20 ปี ไร้รอยต่อจากอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เผยว่า “สถิตินักเรียนในระบบการคัดกรองนักเรียนยากจน ที่เคยได้รับทุนเสมอภาคจาก กสศ. และทุนอุดหนุนปัจจัยพื้นฐานนักเรียน จากต้นสังกัดในระดับชั้น ม.3 เมื่อปีการศึกษา 2562 พบว่ายืนยันสิทธิ์ผ่านระบบการคัดเลือกกลางบุคคล เข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา (TCAS) ปีการศึกษา 2566 จำนวน 21,922 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 12.46 ของนักเรียนทุนฯ จำนวน 175,977 คน กระจายอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาจำนวน 69 แห่งทั่วประเทศ และปี 2566 มีนักเรียนกลุ่มยากจนและยากจนพิเศษ ยืนยันสิทธิ์ TCAS เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ซึ่งมี 20,018 คน เนื่องจากฐานประชากรกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้นจากการที่ กสศ.ได้รับงบประมาณมากขึ้นในปี 2562 ที่ได้ขยายจากการทำงานร่วมกับ สพฐ.ในปี 2561 ไปยังสังกัด อปท. และ บก.ตชด.”

“ขณะที่เมื่อเทียบสัดส่วนการยืนยันสิทธิ์ จะพบว่าปีการศึกษา 2566 มีสัดส่วนการยืนยันสิทธิ์ลดลงจากปี 2565 ที่ร้อยละ 13.52 จึงเป็นโจทย์สำคัญว่าจะสร้างหลักประกันโอกาสทางการศึกษา ให้เด็กซึ่งสอบติดใน 69 สถาบันอุดมศึกษา มีความมั่นใจในการเรียนต่อ ได้อย่างตลอดรอดฝั่งร่วมกันอย่างไร”

“สาเหตุที่ต้องพูดกันในหัวข้อ การสร้างหลักประกันโอกาส ทางการศึกษา เพราะยังมีเด็กอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่กล้าก้าวข้ามไปเรียนในระดับที่สูงขึ้น หรือก้าวจากการศึกษาภาคบังคับ ไปสู่ชั้นมัธยมปลายหรือไปถึงระดับอุดมศึกษา ด้วยเห็นว่าตนเองยังขาดหลักประกัน ที่จะสามารถเรียนต่อไปได้จนจบการศึกษา แล้วไปสู่การมีงานทำเด็กและผู้ปกครองจำนวนหนึ่ง จึงตัดสินใจออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น หรือสมัครใจที่จะไม่เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น”

“มหาวิทยาลัยทุกแห่งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถติดตามรายชื่อ ของนักเรียนกลุ่มนี้ เพื่อติดตามให้ความช่วยเหลือ ด้านทุนการศึกษาและมาตรการต่างๆ ให้เป็นระบบได้ เช่น ให้โอกาสทำงานพิเศษระหว่างเรียน งานอาสาสมัคร เพื่อให้มีรายได้ระหว่างเรียน และมีกำลังใจในการเรียนต่อจนสำเร็จการศึกษา”

ด้าน ศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ผู้จัดการระบบ TCAS ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “จำนวนนักเรียนยากจน ยากจนพิเศษ ที่ยืนยันสิทธิ์ผ่านระบบ TCAS ปีการศึกษา 2566 ร้อยละ 12.46 แสดงให้เห็นว่า ทปอ. ต้องทำให้นักเรียนกลุ่มนี้ เข้าสู่ระบบการศึกษามากขึ้น อุปสรรคสำคัญของเยาวชนกลุ่มนี้ คือความกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย โดยยังไม่ทราบว่าจะมีหลักประกันอย่างไร ที่จะทำให้จบการศึกษาได้ และค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบก็ยังเป็นอุปสรรค ปัจจุบันระบบ TCAS ไม่เคยมี indicator ในเรื่องของคนที่ยากจน ด้อยโอกาสเข้าสู่มหาวิทยาลัย จนกระทั่งมีกองทุน กสศ. ที่ทำให้ ทปอ.มี KPI ที่สำคัญ คือตัวเลขร้อยละ 12.46 ซึ่งคาดหวังว่า KPI ตัวนี้ จะเป็นสิ่งที่มหาวิทยาลัยต่างๆ และระบบ TCAS เอง ใช้ในการทำงานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยการทำงานขั้นต่อไป มีหลายมาตราการที่เตรียมการไว้ เรื่องแรกคือการลดค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบ

“การลดค่าใช้จ่ายน่าจะเป็นสิ่งที่ หลายคนมองเห็นชัดเจนที่สุด ที่ผ่านมาค่าใช้จ่ายในระบบ TCAS นักเรียนที่สมัคร 1 สาขาต้องเสียเงิน 150 บาท สมัคร 2 สาขา 200 บาท สมัคร 3 สาขา 250 บาท ไล่เรียงขึ้นไป ซึ่งในการสมัครแต่ละรอบต่อสาขา หมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นถ้าเรามีหลักประกันให้กับนักเรียน โดยเฉพาะกลุ่มยากจนยากจนพิเศษ ว่าเขาสมัครได้แน่นอน โดยมีการ waive หรือยกเลิกค่าใช้จ่าย ตอนนี้อยู่ในระหว่างหารือกัน คาดว่าเดือนสิงหาคมนี้น่าจะมีข่าวดี จากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย ในการจะช่วยยกเลิกค่าสมัคร น้องกลุ่มนี้อย่างน้อยหนึ่งลำดับสองลำดับ ก็จะฟรีได้ ส่วนลำดับต่อไปก็จ่ายเงินเพิ่มเฉพาะส่วนต่าง เป็นต้น”

“ค่าสมัครเป็นค่าใช้จ่ายเพียงส่วนเดียว ถ้าเข้ารอบสามก็จะมีเรื่องสอบรายวิชาต่างๆ แม้ว่าตอนนี้หลายวิชามีต้นทุนสูงขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ ทปอ. ก็ไม่มีการปรับค่าสอบมาเป็นเวลานานแล้ว นั่นก็คือค่าสอบ TGAT /TPAT ค่าสอบรายวิชา A level ต่างๆ แปรผันตามจำนวนที่นักเรียนต้องเลือก ในอนาคต ทปอ.อาจจะมีกระบวนการในการช่วยลดค่าสมัครสอบได้ด้วย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทุกมหาวิทยาลัยที่อยู่ในระบบ TCAS เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้นักเรียนกลุ่มนี้”

สำหรับ ศ.ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า “การวางเส้นทางดูแลนักเรียนทุนเสมอภาคของ กสศ. ซึ่งเป็นเด็กเยาวชนที่ด้อยโอกาสที่สุด ให้สามารถก้าวผ่านระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานไปสู่มหาวิทยาลัย ต้องอาศัยความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อสร้างระบบที่ไร้รอยต่อ ด้วยการจัดสรรงบประมาณ เป็นทุนการศึกษาให้แก่ผู้เรียน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้ได้รับการพัฒนาและส่งเสริม ให้มีความเชี่ยวชาญ ตามสาขาวิชาการหรือวิชาชีพที่ตนถนัด สามารถดำรงตนได้อย่างสมบูรณ์”

“ข้อมูลจากทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ต่างชี้ให้เห็นว่าผู้ที่สำเร็จ การศึกษาระดับปริญญาตรี มีโอกาสมีรายได้เฉลี่ยราว 23,000 ถึง 27,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าผู้สำเร็จการศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายถึงสองเท่า ดังนั้นสำหรับนักเรียนทุนเสมอภาค ที่มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ไม่มากเท่ากลุ่มอื่น การจบการศึกษาระดับอุดมศึกษา จึงถือว่าเป็น ‘ก้าวใหญ่’ (Giant Step) ที่จะช่วยยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของครัวเรือนของเยาวชนกลุ่มดังกล่าวได้”

อัตราการเข้าเรียนมหาวิทยาลัย สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของประเทศ ในการพัฒนากำลังคน ผลที่ตามมาคือการสูญเสียโอกาส ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญกับ ความเสี่ยงต่อการขาดแคลนแรงงาน อันเป็นผลจากการก้าวสู่ภาวะสังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ หรือ Aged society ซึ่งสะท้อนจากแนวโน้มการลดลง ของจำนวนนักศึกษาใหม่ในระดับปริญญาตรีในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาที่ลดลงกว่า 120,000 คน หรือลดลงร้อยละ 25 จากปี 2555 จนถึงปี 2565 หากประเทศยังต้องสูญเสียโอกาส ในการผลักดันเด็กกลุ่มดังกล่าว ให้เข้าศึกษาต่อในระดับสูง ก็จะยิ่งทำให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะ ทวีความน่ากังวลมากยิ่งขึ้น”

ขณะที่ ผศ.ดร.พูลศักดิ์ โกษียาภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ กล่าวว่า “การที่จะทำให้สถาบันการศึกษา รองรับผู้ขาดแคลนโอกาสได้ ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก คือภาคเอกชน ร่วมกับมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งความรู้ และประสบการณ์ โดยเชื่อว่าถ้าพัฒนาระบบลักษณะดังกล่าวต่อไปในระยะยาวได้ จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางการศึกษาได้ ทั้งในแง่ของจำนวน และตอบโจทย์ด้านคุณภาพการศึกษา ที่พาผู้เรียนไปสู่การประกอบอาชีพได้ ส่วนการทำงานร่วมกันในอนาคต มองว่าการทำงานแบบ ‘แพลตฟอร์ม’ ที่หลายหน่วยงานสามารถทำงานไปพร้อมกัน ถือว่าเหมาะสมกับโจทย์ปัญหาของเด็กเยาวชน ที่หลากหลายและซับซ้อน”

ปิดท้ายกันที่ นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กล่าวว่า “กยศ. ให้หลักประกันว่าเด็กทุกคน ที่เกิดในประเทศไทยจะมีโอกาส เข้าถึงการศึกษาที่เสมอภาค โดยแต่ละปี กยศ.มีฐานเงินกู้เฉลี่ยที่ 4 หมื่นล้านบาท แบ่งการกู้ยืมเป็น 4 รูปแบบ ได้แก่ 1.ขาดแคลนทุนทรัพย์ (มีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 360,000 บาท/ปี) 2.ศึกษาในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ 3.ศึกษาในสาขาที่ขาดแคลน 4.ศึกษาในระดับปริญญาโท

และยังเปิดโอกาสให้กู้ยืมในลักษณะอื่นๆ ตามความเหมาะสม โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 1 และมีอัตราเบี้ยปรับร้อยละ 0.5 เปิดโอกาสให้ผู้กู้ยืมที่มีอายุตั้งแต่ 18-60 ปี และด้วยบริบทการศึกษาที่เปลี่ยนไป กยศ.จึงเพิ่มรูปแบบการให้กู้ยืม เพื่อการเรียนหลักสูตรระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงการเรียนรู้ที่ไร้ขีดจำกัดยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีโครงการ ‘พัฒนาทุนมนุษย์’ โดย กยศ.มีนโยบาย ‘ลดหนี้’ ให้แก่ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ในสาขาที่เป็นความต้องการของประเทศ (s-curve) โดยจะลดหนี้กู้ยืมร้อยละ 30 และลดอัตราดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.5 ส่วนในการเรียนสายอาชีพ หรืออาชีวศึกษาจะลดหนี้ เมื่อจบการศึกษาที่ร้อยละ 50

Related Posts

Send this to a friend