FEATURE

ผ้าไหมมัดหมี่ ตัวอย่างการเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรม ผ่านการประยุกต์ลวดลายของปราชญ์ชาวบ้าน

อัตลักษณ์ของผ้าไหมไทย เป็นสิ่งที่ภาคส่วนต่าง ๆ ในประเทศไทย พยายามศึกษา และผลักดันในฐานะที่เป็นวัฒนธรรมที่สืบต่อมาอย่างยาวนานในแต่ละพื้นที่ โดยมีชาวบ้านพื้นถิ่นเป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งภูมิปัญญาที่ได้รับการถ่ายทอดมาในแต่ละยุค ด้วยลวดลายและเทคนิคการทอ ทำให้ผ้าไหมไทยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นำไปสู่ความพยายามที่จะยกระดับให้ผ้าไทยแต่ละท้องที่ถูกพูดถึง และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น

งานวิจัยของกัญญารินทร์ ไชยจันทร์ จากสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง “อัตลักษณ์ลวดลายผ้าไหมมัดหมี่ : มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของปราชญ์ชาวบ้านจังหวัดขอนแก่น” เป็นงานที่ชี้ให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของผ้าไหมมัดหมี่ที่มีการประยุกต์ได้อย่างชัดเจน ถือเป็นงานที่อธิบายได้เป็นอย่างดีว่าความเป็นมรดกทางวัฒนธรรมไม่ได้มีมิติของการรักษาเพียงอย่างเดียว แต่การเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมด้วยการประยุกต์ลวดลายจากสิ่งรอบตัวของปราชญ์ท้องถิ่น ทำให้ความเป็นผ้าไหมมัดหมี่เกิดมิติที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

ผ้าไหมมัดหมี่ เป็นหนึ่งในภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมพื้นถิ่นของคนในพื้นที่แถบอีสานของไทย สร้างลวดลายจากการย้อมสีเส้นด้ายหรือไหมที่นำไปเป็นเส้นพุ่ง วางแผนออกแบบลายแล้วจึงมัดและย้อม คือการทำลวดลายด้วยการใช้เชือกกล้วยหรือเชือกฟางมัดเส้นด้ายที่ใช้ทอบริเวณที่ไม่ต้องการย้อมสี ซึ่งเป็นไปตามลวดลายที่ต้องการ ก่อนจะนำไปย้อมและทอ เส้นด้ายบริเวณที่มัดไว้จะไม่ติดสีแต่สีจะซึมเข้ามาบ้าง วิธีการมัดเส้นไหมที่เรียกว่าหมี่ จึงเรียกว่าผ้าไหมมัดหมี่

ผ้าไหมมัดหมี่ เป็นภูมิปัญญาที่พบในกลุ่มชาติพันธุ์ไทลาวในแถบพื้นที่อีสานของไทย และมีชื่อเสียงมากในอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะของแหล่งผลิตผ้าไหมมัดหมี่ทีมีชื่อเสียงของไทย อีกทั้งยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของขาวบ้านในการผลิตผ้าไหมมัดหมี่มายาวนาน ซึ่งปัจจุบันปราชญ์ชาวบ้าน ในฐานะของช่างฝีมือซึ่งมีทักษะการทำผ้าไหมมัดหมี่แบบดั้งเดิม ในวันนี้ได้เพิ่มมูลค่าผ้าไหมมัดหมี่ผ่านการประยุกต์สร้างสรรค์ลวดลายที่แตกต่างออกไป รวมถึงการใส่ความหมายลงไปในลวดลายประยุกต์ สะท้อนถึงวัฒนธรรม ความเชื่อ ที่เกี่ยวพันกับเรื่องราวของวิถีชีวิตในพื้นที่อีสาน โดยเฉพาะอำเภอชนบท

เดิมทีลวดลายของผ้าไหมมัดหมี่ เริ่มต้นจากการคัดเลือกเส้นไหม ซึ่งการจัดทำผ้าไหมมัดหมี่ 3 ตะกอสอดหางกระรอก เป็นการใช้เส้นไหมบ้านตีเกลียว หรือเส้นไหมจุล การออกแบบลายหมี่ การให้สีหรือที่เรียกว่าการโอบหมี่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว การทอผ้าแบบ 3 ตะกอ ทำให้เนื้อผ้าแน่น สม่ำเสมอ มีสีและลวดลายด้านหนึ่งทึบกว่าอีกด้าน ในอดีตการทำผ้าไหมมัดหมี่เริ่มต้นที่ลำหมี่จำนวน 49 ลำ ลวดลายส่วนใหญ่มาจากเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน และการเยี่ยมชมตามสถานที่ต่าง ๆ

ที่ผ่านมา การทำผ้าไหมมัดหมี่สามตะกอสอดหางกระรอกของปราชญ์ชาวบ้านในอำเภอชนบท เป็นการทำเพื่อจำหน่าย ปราชญ์ชาวบ้านจึงไม่มีลวดลายแบบดั้งเดิมเก็บไว้ แต่เป็นการเก็บลวดลายผ้าไหมมัดหมี่ในรูปแบบพิมพ์หมี่ โดยผ้าไหมมัดหมี่ที่ผลิตขึ้น จะมีผู้สนใจซื้อไปเก็บ หรือ นำไปจัดแสดงตามสถานที่ต่าง ๆ อาทิ ในพิพิธภัณฑ์ หรือถูกเก็บรักษาไว้เพื่อการศึกษาถึงลวดลายที่เคยมีแบบดั้งเดิม

ถึงแม้ปัจจุบันมีการผลิตซ้ำลวดลายของผ้าไหมมัดหมี่แบบดั้งเดิมในบางลวดลายที่ได้รับความนิยม แต่จะมีเอกลักษณ์ที่ต่างออกไปบ้างโดยจะเรียกชื่อลายเหมือนเดิม อาทิ ลายขอพระเทพ ลายจี้เพชร โดยมีลายดั้งเดิมบางลวดลายที่ไม่ได้ถูกทำซ้ำ และวางจำหน่ายแล้ว ด้วยหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นความยากของลาย หรือพิมพ์หมี่ที่หายไป

ถึงแม้ลวดลายของผ้าไหมมัดหมี่แบบดั้งเดิมจะไม่ได้ถูกวางจำหน่ายโดยทั่วไปในปัจจุบัน แต่กลับสะท้อนถึงความหมายของลวดลายได้เด่นชัดว่า ‘ความเป็นผ้ามัดหมี่ สามารถสะท้อนถึงบริบทของช่วงเวลาได้ตามลวดลายที่ปรากฎ’ เนื่องจากบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ลวดลายที่นำมาใช้ผลิตใหม่มักจะประยุกต์มาจากเหตุการณ์ปัจจุบัน หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว ลวดลายในฐานะของสัญลักษณ์หนึ่งจึงอธิบายถึงช่วงเวลาของผ้าไหม ในที่นี้ลวดลายที่เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นการเพิ่มมูลค่าของผ้าไหมมัดหมี่ไปพร้อมกัน

ลวดลายในปัจจุบันสร้างสรรค์มาจากการนำเสนอจากวิถีชีวิตในปัจจุบัน ลายที่เกี่ยวกับพืช สะท้อนถึงพืชที่ผู้จัดทำรู้จักหรือนำมาใช้ ลายเกี่ยวกับสัตว์ มาจากสัตว์ที่รู้จักหรือคุ้นเคย ลายเกี่ยวกับเครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ ลายที่เกี่ยวกับสิ่งที่ได้พบเห็นได้ในสื่อปัจจุบัน ความเชื่อในทางศาสนา รวมถึงความเป็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่น และมีการพัฒนาสีสันให้มีความหลากหลายเพื่อทำให้เกิดความมีมิติมากยิ่งขึ้น ซึ่งการสร้างสรรค์ลวดลายผ้าไหมมัดหมี่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการมัดลายและโอบหมี่เพื่อให้เกิดเป็นมิติของผืนผ้า

ตามที่กล่าวไป ไม่เพียงแค่ลวดลาย แต่เอกลักษณ์สำคัญอีกสิ่งของผ้าไหมมัดหมี่คือเทคนิคที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมา แม้ลวดลายดั้งเดิมจะเปลี่ยนไป แต่การถ่ายทอดกระบวนการทำผ้าไหมมัดหมี่ถือเป็นภูมิปัญญาที่จำเพาะ ได้รับการถ่ายทอดผ่านการลงมือทำ และบอกเล่าวิธีการให้กับสมาชิกในครอบครัวหรือสมาชิกของกลุ่มทอผ้าที่ตั้งขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร

ในแง่ของอุตสาหกรรมผ้าไหมไทย ปัจจุบันผ้าไหมมัดหมี่ถือเป็นสินค้าที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านและคนในพื้นที่ ซึ่งการจัดทำผ้าไหมมัดหมี่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ และเทคนิคจำเพาะ ปราชญ์ชาวบ้านจึงเป็นส่วนสำคัญต่อการผลักดันผ้าไหมมัดหมี่ให้คงอยู่ไปพร้อมกับสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐกิจแก่คนในชุมชน และพัฒนาไปสู่ศูนย์กลางการทอผ้าไหมมัดหมี่อยู่ในอำเภอชนบทที่มีลวดลายและเทคนิคการทอที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ

ดังนั้นแล้ว งานศึกษาของกัญญารินทร์ ไชยจันทร์ จึงสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า คุณค่าของผ้าไหมไทย ไม่ใช่เพียงบริบทของการอนุรักษ์ หรือสืบสานความเป็นมรดกด้วยการคงไว้ซึ่งลักษณะเดิมเพียงอย่างเดียว การทำความเข้าใจมิติของผ้าไหมไทยในแต่ละพื้นที่ จะทำให้เห็นถึงเรื่องราว ความเป็นมา และสัญลักษณ์ที่ผ้าไหมถูกให้ความหมายแตกต่างกัน ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจบริบทของความเป็นไทยในแต่ละแถบของผ้าไหมได้ชัดเจน ซึ่งเป็นการยกระดับโดยใช้ทุนทางวัฒนธรรม (Cultural Capital) ที่ทำให้อัตลักษณ์ของผ้าไหมมัดหมี่เกิดมูลค่าเพิ่ม ไปพร้อมกับสะท้อนเรื่องราวที่ลึกซึ้งของชุมชน

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะของผู้จัดทำช่วยชี้ให้เห็นว่า การสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมถึงการผลักดันไปสู่อุตสาหกรรมในระดับที่กว้างขวางขึ้น ภาคส่วนต่าง ๆ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาในพื้นที่ ควรมีส่วนต่อการส่งเสริม และสนับสนุนผ่านการเรียนรู้ร่วมกับปราชญ์ชาวบ้าน เพื่อให้ผ้าไหมมัดหมี่กลายเป็นเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน อีกทั้งการนำผ้าไหมมัดหมี่ไปจัดแสดงตามเทศกาล จะมีส่วนต่อการสร้างโอกาสให้ชุมชนสามารถต่อยอด และเผยแพร่วัฒนธรรมท้องถิ่นในวงกว้างมากขึ้น

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat