นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า โครงการประกันภัยข้าวนาปีเริ่มต้นตั้งแต่ปี 2554 ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงปีนี้เป็นปีที่ 10 โดยในปีนี้ระบบการประกันภัยจะครอบคลุมพื้นที่การเพาะปลูกข้าวสูงสุดถึง 44.7 ล้านไร่ จากการประมาณการพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศ 55 ล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ ซึ่งทางสมาคมฯ ให้ความสำคัญกับโครงการที่ดำเนินการร่วมกับภาครัฐนี้เป็นอย่างมากที่จะให้เกษตรกรมีเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงภัยทางธรรมชาติ ซึ่งจะมีแนวโน้มความแปรปรวนในอนาคตเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ (Climate Change) ที่นับวันจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ในการนี้ สมาคมฯ ได้มอบหมายให้สำนักงานอัตราเบี้ยประกันวินาศภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการทำวิจัย และนวัตกรรมใหม่ๆ พัฒนารูปแบบโครงการให้เหมาะสมกับเกษตรกร โดยงานวิจัยที่ภาคอุตสาหกรรมประกันภัยนำมาใช้จริงเป็นครั้งแรกนี้ เป็นการวิจัยที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการกว่า 2 ปี ตามบันทึกความเข้าใจการพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลการเกษตรของประเทศไทย ที่สำนักงานอัตราเบี้ยประกันวินาศภัย ได้ดำเนินการอย่างใกล้ชิด ร่วมกับอีก 5 หน่วยงาน ได้แก่
1. สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย
2. กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
3. สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)
4. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
5. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และมีสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ร่วมให้ข้อเสนอแนะและข้อคิดเห็นตลอดการดำเนินงานวิจัย ซึ่งการวิจัยนี้ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่บูรณาการด้านการเกษตรและการประกันภัยลงลึกถึงระดับรายแปลง ร่วมกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลอุตุนิยมวิทยา ที่มีอยู่แล้วทุกพื้นที่ ทั่วประเทศ มาจัดทำแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่เหมาะสมในแต่ละเขตพื้นที่การเพาะปลูก (Normalized Difference Vegetation Index – NDVI) เพื่อวิเคราะห์เชิงลึกถึงระดับความเสียหายต่อนาข้าวของเกษตรกรที่เกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง และ อุทกภัย