ส่งผลให้ 2 เดือนแรกของไตรมาส 2/2563 บริษัทฯ มียอดขายสะสมแล้วกว่า 4,200 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงไตรมาส 1/2563 และรวม 5 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มียอดขายสะสมกว่า 9,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนราว 18% แบ่งสัดส่วนเป็นบ้านจัดสรร 34% และคอนโดมิเนียม 66% ซึ่งเบื้องต้นบริษัทฯ คาดว่า ครึ่งแรกของปี 2563 จะสามารถปิดยอดขายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 50% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ 21,500 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมทั้งปีมีโอกาสทำได้มากกว่าเป้าหมาย
สาเหตุสำคัญที่ผลักดันยอดขายของบริษัทฯ ให้เติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง มาจากการปรับกลยุทธ์เดินเกมการตลาดเชิงรุก ควบคู่ไปกับการเดินหน้าขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น อาทิ เปิด Official Store บนแพลตฟอร์ม Shopee และ Lazada ไปพร้อมๆกับการผลักดันพนักงานให้ก้าวสู่ Micro Influencer ขายสินค้าผ่านช่องทางสื่อสารส่วนบุคคล ภายใต้โปรเจ็ค Everyone can sell
นายพีระพงศ์ บอกด้วยว่า บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 16,700 ล้านบาท จากแผนทั้งปีมูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรราว 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท เติบโตแบบก้าวกระโดดจากปีที่ผ่านมา และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวม 7,900 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 61:49 ตามลำดับ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ที่จะมีการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรมากกว่าคอนโดมิเนียม โดยในช่วงครึ่งหลังของปี
ทั้งนี้ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย
1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 73 โครงการ เช่น แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 114,000 ล้านบาท
2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก
3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร