BUSINESS

เฮลีออน ประเทศไทย จับมือพันธมิตร ต่อยอดโครงการ Smiles Can’t Wait เฟสที่ 2 ตลอดปี 2566

เฮลีออน ในประเทศไทย (Haleon in Thailand) ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพระดับโลก ร่วมกับ โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,กองทันตกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า,โรงพยาบาลคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมร้านขายยาแห่งประเทศไทย เดินหน้าตอกย้ำพันธกิจ ในการส่งมอบสุขภาพที่ดีขึ้นในทุกๆ โดยการมอบฟันเทียมให้ผู้สูงวัยสูญเสียฟัน

ด้วยการสานต่อแนวคิด #EveryMouthMatters ผ่านแคมเปญ “เพราะรอยยิ้มไม่ควรต้องรอ ความสุขก็เช่นกัน” (Smiles Can’t Wait) ในประเทศไทย ซึ่งเป็นเฟสที่ 2 หลักจากเปิดตัวโครงการเฟสแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่เริ่มเปิดรับบริจาคในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เพียงเดือนเดียว โดยมียอดบริจาคกว่า 1 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูญเสียฟัน ที่ไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจากการทำฟันเทียม ให้มีโอกาสเข้าถึงบริการฟันเทียมได้มากขึ้น พร้อมลดผลกระทบทางสุขภาพกายใจ รวมทั้งด้านอารมณ์จากการสูญเสียฟัน พร้อมกันนี้ได้เผยภาพรวมทิศทาง การเติบโตของธุรกิจ ในเครือของ บ.เฮลีออน ประเทศไทย ปี 66 และ 67 ไว้น่าสนใจ

นางสาว สุวรรณา ร่วมสนิทวงศ์ ผู้จัดการการตลาดอาวุโส กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ เฮลีออน ในประเทศไทย กล่าวว่า “แคมเปญ Smiles Can’t Wait หลังการประกาศเจตนารมย์ของเฮลีออน ในประเทศไทย ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ด้วยการยกระดับการดูแลสุขภาพของผู้คนในทุกๆ วัน โดยเฉพาะสุขภาพของช่องปากและฟัน ให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น วันนี้เฮลีออน ใน ประเทศไทย ได้ส่งมอบฟันเทียมจำนวน 1,000 ชุด ให้แก่ผู้สูงวัยภายใต้ความร่วมมือกับ โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล,กองทันตกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า,โรงพยาบาลคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมร้านขายยาแห่งประเทศไทย”

“โดยแคมเปญนี้ได้รับความสนใจ อย่างมากจากประชาชน ซึ่งทำให้เราได้รับเงินบริจาครวมกว่า 1 ล้านบาท หลังการเริ่มเปิดรับบริจาคในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ เดือนเมษายนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว ซึ่งผลตอบรับที่ล้นหลามจากโครงการเฟสแรกนี้ ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการต่อยอดโครงการเฟส 2 ได้ต่อไป ด้วยน้ำใจของคนไทยที่ต้องการส่งมอบรอยยิ้ม ความสุขแก่ผู้สูงวัยซึ่งเป็นที่เคารพรักในสังคมไทย และ เฮลีออน ในประเทศไทย ในฐานะตัวแทนผู้ยึดมั่นในเจตนารมย์ ร่วมกับน้ำใจของคนไทย”

“ด้วยการช่วยเหลือให้คนไทยสามารถ เข้าถึงฟันเทียมได้เร็วขึ้นมากขึ้น เพื่อการมีสุขภาพพลานามัยที่ดี เนื่องจากการที่ผู้สูงวัยสูญเสียฟันจากสาเหตุต่างๆ ทำให้กินข้าวไม่ได้ และเก็บตัวไม่กล้าออกจากบ้าน ที่จำเป็นต้องใส่ฟันปลอม หรือแม้แต่ผู้สูงวัยที่ป่วยโรคมะเร็งในช่องปาก และทำให้เพดานฟันทะลุ ที่ก่อให้ปัญหาเดียวกัน คือไม่สามารถรับประทานอาหารได้ ดังนั้นการใส่เพดานเทียมให้กับผู้สูงวัยกลุ่มนี้ เพื่อให้กินอาหารได้อย่างปกติ และช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ในการยกระดับการดูแลสุขภาพช่องปาก ของผู้คนทั่วโลกภายใต้แนวคิด #EveryMouthMatters”

สำหรับเป้าหมายในปี 2566 นี้ เฮลีออน ในประเทศไทยจะเดินหน้า ร่วมกับโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งข้างต้น สมาคมร้านขายยาแห่งประเทศไทย ร้านค้า และพันธมิตรสื่อสารมวลชน เพื่อสื่อสารความสำคัญ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพราะการสูญเสียฟันไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องพลาดการได้ใช้ชีวิตที่ดี ดังนั้นฟันเทียมจากโครงการ ความร่วมมือจากทุกฝ่าย จะทำให้ผู้สูงวัยได้กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุขและรอยยิ้มที่สดใสอีกครั้ง และโครงการนี้คาดว่า จะดำเนินการต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากในแต่ละปีมีผู้สูงอายุที่สูญเสียฟัน และต้องการฟันปลอมอยู่ที่ ปีละไม่ต่ำกว่า 2,000-3,000 ชิ้น ซึ่งเป็นข้อมูลเฉพาะ ของโรงพยาบาลคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเท่านั้น รวมถึงฟันปลอมแต่ละชิ้นนั้น ใช้เวลาในทำหลายเดือน ทำให้คนไข้ที่สูญเสียฟัน และต้องใส่รอฟันปลอมจากเฟสแรก ยังมีคนไข้จำนวนมาก จากการเข้าร่วมโครงการนี้ จึงทำให้โครงการนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆค่ะ”

“ส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจของทาง เฮลีออน ในประเทศไทย นั้น สำหรับปี 2566 นี้ ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจ ไปจนถึงสิ้นปีนั้น เติบโตอยู่ที่ 12 % ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ต่อเนื่อง ส่วนในปีถัดไปหรือปี 2567 นั้น คาดว่าภาพรวมการเติบโตของธุรกิจ จะอยู่ที่ร้อยละ 16-20 % จาก 3 ปัจจัยหลักๆคือ 1.การที่บริษัทฯมีการสร้างความรู้ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่วงปาก 2.การที่บริษัทฯซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ครีมติดฟันปลอม โพลิเดนท์ (Polident) โดยมีแบรนด์แอมบาสเดอร์ อย่าง แม่อี๊ด-ดวงใจ หทัยกาญจน์ ที่ใส่ฟันเทียมจริงๆและมีประสบการณ์ร่วม เป็นตัวแทนในการสื่อสารไปสู่ประชาชน ในการใส่ฟันปลอมโดยมีตัวช่วย อย่างครีมติดฟันปลอม โพลิเดนท์ ที่ติด 1 ครั้งอยู่ได้นานถึง 12 ชั่วโมง เพื่อช่วยเติมเต็มสุขภาพช่องปากที่ดี ทำให้รับประทานอาหารและเข้าสังคมได้อย่างมีความสุข 3.การคืนกำไรให้สังคมด้วยโครงการ Smiles Can’t Wait”

ด้าน รศ.ทพ.ดร.นิยม ธำรงค์อนันต์สกุล คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ในแต่ละปีผู้สูงอายุระหว่าง 60-74 ปี และ 80-85 ปี ในประเทศไทยเข้าถึงชุดฟันเทียม เพียงร้อยละ 28 เท่านั้น โดยหนึ่งในข้อจำกัดหลัก คือค่าใช้จ่ายในการทำฟันเทียม จากการที่ได้ใกล้ชิดกับคนไข้ พบว่านอกจากปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิต และความมั่นใจแล้ว ปัญหาส่วนมากที่คนไข้ประสบคือ ภาวะกลืนอาหารลำบาก อันเนื่องมาจากกลไกของระบบประสาท ที่ควบคุมการกลืนลดลง เพราะเมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อ ระบบอวัยวะต่างๆก็จะเสื่อมลง”

“ทั้งการทำหน้าที่การทำงานของช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร และกลไกของระบบประสาทที่ควบคุมการกลืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุที่ไม่มีฟัน ทำให้เคี้ยวอาหารได้ไม่ละเอียด ยิ่งกลืนยาก โดยที่อาหารเหลือค้างในปากจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อก่อโรค อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงสำลักอาหารเข้าสู่ทางเดินหายใจได้ จึงเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุ ทั้งยังเสี่ยงติดคอ และส่งผลต่อระบบการย่อยอาหาร ทำให้อาหารไม่ย่อย เกิดกรดไหลย้อนได้อีกด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีปัญหาอื่นตามมาเมื่อไม่มีฟันมากกว่าที่คิด”

ขณะที่ ทพ.วิศรุตม์ ประวัติวัชรา คณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “การดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุมีความสำคัญ เพราะนอกจากภายในช่องปาก จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในทางกายภาพของผู้สูงวัยโดยตรงแล้ว ยังส่งผลกระทบด้านจิตใจ โดยจะลดทอนความมั่นใจและความสุขในการใช้ชีวิตลงอย่างมาก ลูกหลานหรือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ จึงควรหมั่นสังเกต และพาผู้สูงวัยไปพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปาก และดูแลรักษาฟันอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนดูแลเรื่องการเลือกชนิดของฟันปลอม การสวมใส่และการดูแลรักษาชุดฟันปลอมของผู้สูงอายุในบ้าน”

“เนื่องจากผู้สูงอายุที่ใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้ที่ไม่พอดี จะทำให้เกิดความเจ็บปวด และความรู้สึกไม่สบายในช่องปากได้ ฟันเทียมที่ไม่พอดี จะก่อให้เกิดการเสียดสีกับเหงือก ทำให้เกิดอาการเจ็บเวลาใช้งานและอาจพบแผลบริเวณที่ใส่ฟันปลอมได้ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ปัญหาจะรุนแรงขึ้นและอาจส่งผลต่อการรับประทานอาหาร ขณะเดียวกันสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีการใช้งานฟันปลอมชนิดถอดได้มานานหลายปี อาจพบว่าฟันปลอมที่เคยพอดีกลับหลวม ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสรีระตามธรรมชาติของเหงือกและขากรรไกร ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิด การไม่พอดีของฟันปลอม ดังนั้นการใส่ฟันปลอมของผู้สูงวัย จึงต้องมีการสังเกตและดูแลอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้มีการแก้ไข และไม่ก่อให้เกิดปัญหาในช่องปากตามมา นอกจากนี้ฟันปลอมที่เก่าและมีสภาพไม่ดี อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อราในช่องปากได้อีกด้วย”

“ดังนั้นปัญหาต่างๆในช่องปากของผู้สูงอายุ อาจส่งผลกระทบหลายอย่าง ต่อตัวผู้สูงอายุเองทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงหากมีการสูญเสียฟันเป็นจำนวนมาก อาจส่งผลให้ความสูงของใบหน้าลดลงเนื่องจากไม่มีฟันมารองรับ ทำให้ใบหน้าเหี่ยวย่น เกิดการพูดไม่ชัด และอาจทำให้เกิดความกังวลในการเข้าสังคม จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ผู้สูงอายุและลูกหลาน หรือผู้ดูแลควรหมั่นคอยสังเกตอาการในช่องปาก และไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจช่องปาก และดูแลรักษาฟันอย่างสม่ำเสมอ หากเกิดความผิดปกติในช่องปาก เช่น ฟันเทียมไม่พอดี  มีแผล ก้อนบวมในช่องปาก มีความลำบากในการเคี้ยวหรือกลืน ควรไปพบทันตแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ทันท่วงที”

ทั้งนี้สามารถสมทบทุนเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ให้กับผู้สูงวัย ผ่านทางออนไลน์ โดยการสแกน QR Code กองทุนเติมรอยยิ้มคืนความสุข ได้โดยตรงที่มูลนิธิทั้ง 3 โรงพยาบาลที่สนับสนุนโครงการนี้ เพื่อจัดทำฟันปลอม และเพดานเทียมให้กับผู้สูงอายุ จากปัญหาสุขภาพช่องปาก

Related Posts

Send this to a friend