BUSINESS

ฟิลิปส์ ต่อยอดเทคโนโลยี AI สู่เครื่องมือแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค

นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยความสำคัญ ในการนำศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI มาในการตรวจวินิจฉัย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดระยะเวลาในการรักษาลง เนื่องจากเทคโนโลยี AI เป็นกุญแจสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขได้ เนื่องจากสามารถสนับสนุน การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติมากขึ้น และยังสามารถสร้างข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วย ที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัย และดูแลรักษาผู้ป่วยได้อีกด้วย

อีกทั้งในการตรวจวินิจฉัยโรค ด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) ที่มีเทคโนโลยี AI ทำให้การสแกนภาพเร็วขึ้นถึง 3 เท่าจากระยะเวลาเดิม จึงช่วยประหยัดเวลาในการตรวจวินิจฉัย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายในการตรวจแต่ละครั้งได้ ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วย นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยี AI ในระบบอัลตร้าซาวนด์ ยังช่วยให้การตรวจวินิจฉัย เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ลดขั้นตอนการทำซ้ำๆ ทั้งนี้กระบวนการตรวจ โดยปกติใช้ประมาณ 30 นาที แต่เมื่อมีเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วย ทำให้เหลือเวลาตรวจเพียงแค่ 10 นาที หมายถึงว่าเราสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 20 นาที ผู้ป่วยจึงได้รับการตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็วขึ้น ลดระยะเวลาในการรอรับการรักษา ส่งผลให้สามารถตรวจวินิจฉัยผู้ป่วย ในแต่ละวันได้มากขึ้น

นายวิโรจน์ กล่าวว่า “เทคโนโลยี AI มีศักยภาพมาก ในการบริหารจัดการโรคให้ดีขึ้น การตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยลดแรงกดดันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และมีการบริหารจัดการผู้ป่วยที่ดีขึ้น ทำให้กระบวนการดูแลรักษา และประสบการณ์ของผู้ป่วยดีขึ้นนั่นเอง ล่าสุดภายในงานประชุมวิชาการ ระดับนานาชาติด้านรังสีวิทยา European Congress of Radiology (ECR) ที่ผ่านมา ฟิลิปส์ได้นำเสนอโซลูชั่น ที่มีการนำปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI มาใช้ในการบูรณาการเครื่องมือแพทย์ สำหรับการตรวจวินิจฉัยต่างๆ ของฟิลิปส์ อาทิ เครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) เครื่องเอ็กซเรย์และเครื่องอัลตร้าซาวนด์ รวมถึงโซลูชั่นการตรวจวินิจฉัย ด้วยภาพในอนาคต ที่มาพร้อมระบบของฟิลิปส์อันล้ำสมัย และเทคโนโลยี AI ที่ได้รับรางวัล ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรวดเร็ว ในการตรวจวินิจฉัยและทำให้คุณภาพของภาพตรวจที่ได้มีความชัดเจนมากขึ้น”

“ภายใต้ความร่วมมือของฟิลิปส์กับ Leiden University Medical Center ซึ่งเป็นศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ฟิลิปส์จึงได้พัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มความเร็วในการสแกน และพัฒนาการตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) เพื่อลดระยะเวลาการสแกนให้น้อยกว่า 5 นาที แต่ยังคงได้ภาพจากการสแกนที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ป่วยหรืออวัยวะภายใน จะมีการขยับก็ตาม โดยการบูรณาการในครั้งนี้ ได้มีการแสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่น ให้กับโรงพยาบาลทั่วโลกแล้ว”

“ทั้งนี้เทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขภาวะหมดไฟ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ได้ด้วยการแบ่งเบาภาระงาน ส่งผลให้ความพึงพอใจ และอัตราการรักษาบุคลากรไว้เพิ่มขึ้นด้วย เทคโนโลยี AI ยังสามารถจัดการกับการทำงานแบบเดิมๆ ที่ต้องใช้กำลังคนมาก ให้เป็นการทำงานโดยอัตโนมัติ และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ ของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย ทั้งหมดนี้จะช่วยลดเวลาในการทำงาน และลดแรงกดดันให้กับบุคลากร เมื่อภาระงานอื่นๆลดลง บุคลากรทางการแพทย์ ก็จะมีเวลาในการดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น ดังนั้นการสนับสนุนการทำงาน ของบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยี AI จึงสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษา สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ป่วย และให้ผลลัพธ์ทางสุขภาพโดยรวมที่ดีได้”

“นอกจากปรับปรุงกระบวนการ ดูแลรักษาผู้ป่วยและเพิ่มประสิทธิภาพ ในสถานที่ทำงานแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI ยังมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างวงการสาธารณสุข ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และการวิเคราะห์แนวโน้มล่วงหน้า ทั้งนี้เทคโนโลยี AI สามารถวิเคราะห์แนวโน้ม และแจ้งเตือนล่วงหน้า เมื่อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์นั้นถึงเวลาที่ต้อง ได้รับการซ่อมบำรุงก่อนที่จะเสียหาย และช่วยให้วิศวกรสามารถตรวจสอบ ประเมิน และเข้าแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที จากการทำงานในระยะไกล กระบวนการนี้สร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการช่วยขยายอายุการใช้งาน ให้กับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วยลดการทิ้งเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เสียให้น้อยลง เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและสะอาด ซึ่งช่วยสร้างสุขภาพที่ดี และอาจลดผลกระทบ รวมถึงความรุนแรงของโรคที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศได้ เป็นต้น”

“เทคโนโลยี AI ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการติดตามอาการแบบออนไลน์หรือ virtual care โดยให้ผู้ดูแลผู้ป่วย สามารถติดตามอาการ และดูแลผู้ป่วยระยะไกลได้ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงการดูแลรักษา ทางการแพทย์ได้มากขึ้น แต่ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่าย และเวลาในการเดินทาง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเดินทางด้วย สิ่งที่น่าติดตามคือ จากผลสำรวจ Future Health Index 2022 พบว่า 1 ใน 4 ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระบุว่า การนำแนวทางสร้างความยั่งยืน ของระบบสาธารณสุขมาปฏิบัติ เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ”

“ในปัจจุบัน ฟิลิปส์ตระหนักถึงความสำคัญ ในการสร้างความยั่งยืน ให้กับวงการเฮลท์แคร์ เรามุ่งมั่นต่อการรับผิดชอบต่อสังคม และทำให้การสร้างความยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของเรา เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อโลกให้น้อยที่สุด โดยเราได้ประยุกต์หลักการด้านความยั่งยืน (sustainability) และการหมุนเวียน (circularity) มาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ และพัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นต่างๆของฟิลิปส์ และแม้ว่าเราจะมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในระบบสาธารณสุขมากขึ้น แต่เราจำเป็นต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เทคโนโลยี AI นั้นจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ ได้รับการสนับสนุน จากผู้ใช้งานที่มีความเชี่ยวชาญ”

นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยความสำคัญ ในการนำศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI มาในการตรวจวินิจฉัย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดระยะเวลาในการรักษาลง เนื่องจากเทคโนโลยี AI เป็นกุญแจสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขได้ เนื่องจากสามารถสนับสนุน การทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ให้เป็นไปอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติมากขึ้น และยังสามารถสร้างข้อมูลเชิงลึกของผู้ป่วย ที่ได้มาจากการรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัย และดูแลรักษาผู้ป่วยได้อีกด้วย

อีกทั้งในการตรวจวินิจฉัยโรค ด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) ที่มีเทคโนโลยี AI ทำให้การสแกนภาพเร็วขึ้นถึง 3 เท่าจากระยะเวลาเดิม จึงช่วยประหยัดเวลาในการตรวจวินิจฉัย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายในการตรวจแต่ละครั้งได้ ส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วย นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยี AI ในระบบอัลตร้าซาวนด์ ยังช่วยให้การตรวจวินิจฉัย เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ลดขั้นตอนการทำซ้ำๆ ทั้งนี้กระบวนการตรวจ โดยปกติใช้ประมาณ 30 นาที แต่เมื่อมีเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วย ทำให้เหลือเวลาตรวจเพียงแค่ 10 นาที หมายถึงว่าเราสามารถประหยัดเวลาได้ถึง 20 นาที ผู้ป่วยจึงได้รับการตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็วขึ้น ลดระยะเวลาในการรอรับการรักษา ส่งผลให้สามารถตรวจวินิจฉัยผู้ป่วย ในแต่ละวันได้มากขึ้น

นายวิโรจน์ กล่าวว่า “เทคโนโลยี AI มีศักยภาพมาก ในการบริหารจัดการโรคให้ดีขึ้น การตรวจวินิจฉัยที่รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะช่วยลดแรงกดดันให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และมีการบริหารจัดการผู้ป่วยที่ดีขึ้น ทำให้กระบวนการดูแลรักษา และประสบการณ์ของผู้ป่วยดีขึ้นนั่นเอง ล่าสุดภายในงานประชุมวิชาการ ระดับนานาชาติด้านรังสีวิทยา European Congress of Radiology (ECR) ที่ผ่านมา ฟิลิปส์ได้นำเสนอโซลูชั่น ที่มีการนำปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI มาใช้ในการบูรณาการเครื่องมือแพทย์ สำหรับการตรวจวินิจฉัยต่างๆ ของฟิลิปส์ อาทิ เครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) เครื่องเอ็กซเรย์และเครื่องอัลตร้าซาวนด์ รวมถึงโซลูชั่นการตรวจวินิจฉัย ด้วยภาพในอนาคต ที่มาพร้อมระบบของฟิลิปส์อันล้ำสมัย และเทคโนโลยี AI ที่ได้รับรางวัล ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรวดเร็ว ในการตรวจวินิจฉัยและทำให้คุณภาพของภาพตรวจที่ได้มีความชัดเจนมากขึ้น”

“ภายใต้ความร่วมมือของฟิลิปส์กับ Leiden University Medical Center ซึ่งเป็นศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยไลเดน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ฟิลิปส์จึงได้พัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อเพิ่มความเร็วในการสแกน และพัฒนาการตรวจด้วยเครื่องเอ็มอาร์ไอ (MRI) เพื่อลดระยะเวลาการสแกนให้น้อยกว่า 5 นาที แต่ยังคงได้ภาพจากการสแกนที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่าผู้ป่วยหรืออวัยวะภายใน จะมีการขยับก็ตาม โดยการบูรณาการในครั้งนี้ ได้มีการแสดงผลลัพธ์ที่โดดเด่น ให้กับโรงพยาบาลทั่วโลกแล้ว”

“ทั้งนี้เทคโนโลยี AI สามารถเข้ามาช่วยแก้ไขภาวะหมดไฟ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ได้ด้วยการแบ่งเบาภาระงาน ส่งผลให้ความพึงพอใจ และอัตราการรักษาบุคลากรไว้เพิ่มขึ้นด้วย เทคโนโลยี AI ยังสามารถจัดการกับการทำงานแบบเดิมๆ ที่ต้องใช้กำลังคนมาก ให้เป็นการทำงานโดยอัตโนมัติ และยังมีส่วนช่วยสนับสนุนการตัดสินใจ ของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย ทั้งหมดนี้จะช่วยลดเวลาในการทำงาน และลดแรงกดดันให้กับบุคลากร เมื่อภาระงานอื่นๆลดลง บุคลากรทางการแพทย์ ก็จะมีเวลาในการดูแลผู้ป่วยได้มากขึ้น ดังนั้นการสนับสนุนการทำงาน ของบุคลากรทางการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยี AI จึงสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลรักษา สร้างประสบการณ์ที่ดีให้ผู้ป่วย และให้ผลลัพธ์ทางสุขภาพโดยรวมที่ดีได้”

“นอกจากปรับปรุงกระบวนการ ดูแลรักษาผู้ป่วยและเพิ่มประสิทธิภาพ ในสถานที่ทำงานแล้ว ปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI ยังมีบทบาทสำคัญ ในการสร้างวงการสาธารณสุข ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล และการวิเคราะห์แนวโน้มล่วงหน้า ทั้งนี้เทคโนโลยี AI สามารถวิเคราะห์แนวโน้ม และแจ้งเตือนล่วงหน้า เมื่อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์นั้นถึงเวลาที่ต้อง ได้รับการซ่อมบำรุงก่อนที่จะเสียหาย และช่วยให้วิศวกรสามารถตรวจสอบ ประเมิน และเข้าแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที จากการทำงานในระยะไกล กระบวนการนี้สร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในการช่วยขยายอายุการใช้งาน ให้กับเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ช่วยลดการทิ้งเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เสียให้น้อยลง เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนและสะอาด ซึ่งช่วยสร้างสุขภาพที่ดี และอาจลดผลกระทบ รวมถึงความรุนแรงของโรคที่เกิดจากมลภาวะทางอากาศได้ เป็นต้น”

“เทคโนโลยี AI ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และการติดตามอาการแบบออนไลน์หรือ virtual care โดยให้ผู้ดูแลผู้ป่วย สามารถติดตามอาการ และดูแลผู้ป่วยระยะไกลได้ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล สามารถเข้าถึงการดูแลรักษา ทางการแพทย์ได้มากขึ้น แต่ยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่าย และเวลาในการเดินทาง และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเดินทางด้วย สิ่งที่น่าติดตามคือ จากผลสำรวจ Future Health Index 2022 พบว่า 1 ใน 4 ของผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระบุว่า การนำแนวทางสร้างความยั่งยืน ของระบบสาธารณสุขมาปฏิบัติ เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ”

“ในปัจจุบัน ฟิลิปส์ตระหนักถึงความสำคัญ ในการสร้างความยั่งยืน ให้กับวงการเฮลท์แคร์ เรามุ่งมั่นต่อการรับผิดชอบต่อสังคม และทำให้การสร้างความยั่งยืน เป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินธุรกิจของเรา เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อโลกให้น้อยที่สุด โดยเราได้ประยุกต์หลักการด้านความยั่งยืน (sustainability) และการหมุนเวียน (circularity) มาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบ และพัฒนานวัตกรรมและโซลูชั่นต่างๆของฟิลิปส์ และแม้ว่าเราจะมีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ในระบบสาธารณสุขมากขึ้น แต่เราจำเป็นต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เทคโนโลยี AI นั้นจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อ ได้รับการสนับสนุน จากผู้ใช้งานที่มีความเชี่ยวชาญ”

Related Posts

Send this to a friend