BUSINESS

กนอ.เปิดยอดขาย-เช่าที่ดิน 6 เดือนแรก ปี 65 เพิ่มกว่า 30%

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยยอดขาย-เช่าที่ดินพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2565 โตขึ้นร้อยละ 31.70 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงเป็นทำเลทองดึงดูดการลงทุน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค.64 – มี.ค.65) กนอ.มียอดขาย-เช่า พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม จำนวน 785.33 ไร่ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ 31.70 เป็นผลใสจากความเชื่อมั่นในโครงการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน , โครงการพัฒนาท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก , โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 โดยทั้ง 4 โครงการมีความก้าวหน้าการก่อสร้างและส่งมอบพื้นที่โครงการต่อเนื่องชัดเจน

รวมถึงการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ประเทศไทยทำได้เป็นอย่างดี ขณะที่แนวโน้มของเศรษฐกิจโลกก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จึงทำให้นักลงทุนตัดสินใจจอง/ชื้อ/เช่าที่ดิน ในนิคมอุตสาหกรรม ทั้งนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงาน และนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ.ดำเนินการเอง โดยยอดการขาย/เช่านิคมฯ ในพื้นที่อีอีซี มีจำนวน 669.73 ไร่ และนอกพื้นที่อีอีซี จำนวน 115.60 ไร่ มีการแจ้งเริ่มประกอบกิจการ และใบขออนุญาตส่วนขยาย 40 ราย เกิดการจ้างงาน 17,905 คน มูลค่าการลงทุนรวม 6 เดือน 59,872 ล้านบาท

“ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกปรับตัวอยู่ร่วมกับโควิด-19 ได้เพิ่มขึ้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเดินหน้าได้ รวมถึงการลงทุนในภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง กนอ.เองคาดการณ์ว่าปีนี้ จะมีเม็ดเงินลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสูงถึง 177,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่อีอีซีจะปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงตั้งเป้ายอดขาย/เช่า พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในปี 2565 ไว้ที่ ประมาณ 1,770 ไร่ มากกว่าปีที่ผ่านมา จากหลาสยหลายปัจจัยบวก เช่นจากการสำรวจความคิดเห็นผู้ประกอบการญี่ปุ่นในประเทศไทย หรือจากองค์กรส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) ที่พบว่า นักลงทุนชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มั่นใจการลงทุนในประเทศไทย มีถึงร้อยละ 40-50 ที่ตั้งใจขยายการลงทุนต่อในประเทศไทย และอีกร้อยละ 30 ยังคงมีแผนการลงทุนเดิม เนื่องจากมีความมั่นใจในโครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่อีอีซีที่เดินหน้าอย่างชัดเจน” นายวีริศ กล่าว

สำหรับนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ยังคงครองแชมป์ให้ความสนใจมาลงทุนมากเป็นอันดับหนึ่งถึงร้อยละ 40 รองลงมาคือนักลงทุนจากประเทศจีนร้อยละ 20 และนักลงทุนจากอเมริกา อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ ร้อยละ 10

Related Posts

Send this to a friend