AROUND THAILAND

เสียงจากศูนย์พักพิงชายแดน ชาวบ้านสุรินทร์วอนสันติภาพ หลังอพยพนานกว่า 15 วัน

“สาธุ ขอให้หยุดยิงเถิด เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น คิดถึงบ้านมาก” เสียงจากชาวบ้านในพื้นที่อำเภอชายแดน ติดประเทศกัมพูชา ดีใจ หลังผลเจรจา GBC เป็นไปในทางบวก หวัง ได้กลับบ้านโดยเร็ว เหตุ อยู่ศูนย์พักพิงมากกว่า 15 วันแล้ว

วันนี้ (7 ส.ค. 68) The Reporters ลงพื้นที่ศูนย์พักพิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งมีชาวบ้านจากพื้นที่ตำบลด่าน อำเภอกาบเชิง อพยพมาอยู่ในศูนย์พักพิงแห่งนี้ โดยชาวบ้าน ได้ติดตามรับฟังผลการแถลงข่าวการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee – GBC) ที่มาเลเซีย

นางเสงี่ยม สวัสดี ชาวบ้านในพื้นที่บ้านโพนทอง ต.ด่าน อ.กาบเชิง เปิดเผยว่า หลังจากได้ฟังแถลง ตนเองก็ดีใจ จากบ้านมาหลายวัน คิดถึงวัว พูดไม่ออกตื้นตันใจจะได้กลับบ้าน มาอยู่ส่วนรวมมันยากเราก็คิดถึงบ้าน คิดถึงทุกอย่าง ไม่เคยหนีอพยพมานานแบบนี้ ต่างคนก็ต่างไปต่างอพยพไปคนละทาง

ก่อนที่นางเสงี่ยม จะยกมือขึ้นไหว้ และกล่าวว่า “สาธุ ขอให้หยุดยิงเถิด เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น คิดถึงบ้านมาก”

นางเสงี่ยม ย้ำว่า ตนเองอยากกลับบ้านมากคิดถึงวัว ไม่มีคนคอยให้หญ้า วัวมันก็พูดไม่ได้ อยู่ในคอกก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง ไหนจะเป็ด ไก่ของครอบครัว คิดถึงทุกอย่างเลย และตอนนี้มันตื้นตันใจ พูดไม่ออกได้ยินข่าวเมื่อกี้ก็ตื้นตันใจ ดีใจ และตนเองก็ไม่เชื่อใจกัมพูชา พูดหน้ามือ หลังมือ กลับไปกลับมา ซึ่งบ้านของตนเองอยู่ชายแดน ติดตลาดช่องจอมไม่ถึง 1 กิโลเมตรด้วยซ้ำ ซึ่งก็มีลูกปืนตกลงมาในพื้นที่หลายลูก กัมพูชาพูดอีกอย่าง ไปอีกอย่าง เชื่อไม่ได้ เชื่อได้แค่ช่วงเช้า ถึงเที่ยงพอตกบ่ายมาก็ยิงกันอีกแล้ว เราก็หนีไปคนละทิศคนละทาง

นางเสงี่ยม ระบุว่า ตอนนี้ตนเองเก็บของเตรียมที่อยากจะกลับบ้านแล้ว พร้อมทำความสะอาดห้องที่ศูนย์พักพิง อยากกลับมาก ๆ เขาบอกให้อพยพก็ออกมาเลย เป็นห่วงของที่บ้านมาก มาอยู่ 14 – 15 วันแล้ว และยังไม่ได้กลับไปดูที่บ้านเลย หม้อข้าวยังเดือดปุด ๆ ตอนวันเกิดเหตุลูกปืนใหญ่ตกใส่บ้านเรือนประชาชน เราก็รับลูกหลานกลับมาจากโรงเรียน ชุลมุนวุ่นวาย บ้านก็ติดกับประเทศกัมพูชาด้วย ไม่เคยออกจากบ้านนานขนาดนี้ แค่ไปกรุงเทพ 2 – 3 วัน ยังคิดถึงบ้านเลย เป็นคนแก่ห่วงสมบัติที่บ้าน แต่เราก็เอาตัวรอดก่อน

ด้าน นางบุญกอง วงศ์เรืองศรี ชาวบ้านด่านพัฒนา ต.ด่าน อ.กาบเชิง กล่าวว่า ตนเองอยู่ในพื้นที่ติดกับชายแดนมาก อพยพออกจากพื้นที่มาตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม ตั้งแต่วันแรกที่มีการปะทะกัน มีการประกาศก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ปะทะว่าให้ชาวบ้านเตรียมการในการอพยพ หากว่าเกิดเหตุ ต้องพร้อมที่จะอพยพทันที และมีการแจ้งว่าต้องไปในจุดไหน ใช้ถนนเส้นไหน มีการประกาศไว้ล่วงหน้าเกือบหนึ่งเดือน ซึ่งวันที่เกิดเหตุ ตนเองรู้สึกตกใจ แต่ก็พร้อมที่จะออกจากพื้นที่ เพราะได้เตรียมเอาไว้แล้ว ซึ่งตอนแรกอพยพไปห่างจากชายแดนประมาณ 30 กิโลเมตร แต่ก็มีการย้ายศูนย์พักพิงอีกครั้ง เพราะบริเวณนั้น ยังอยู่ในพื้นที่ที่มีการประกาศเป็นพื้นที่สีแดง

นายบุญกอง กล่าวว่า ตนเองในฐานะคนชายแดน อยากให้เหตุการณ์นี้จบ และสงบโดยเร็ว ตนเองมาอยู่ตอนนี้ ก็อยากกลับบ้าน อยากให้จบเร็ว ๆ อยากให้มีสันติ ไม่อยากให้มีการทำร้าย หรือฆ่ากัน ขอให้คุยกันด้วยดี ไม่อยากให้มีการสูญเสียทั้งสองฝ่าย อยากให้การเจรจาเป็นไปได้ด้วยดี อยากให้มีสันติเกิดขึ้น ตกลงกันด้วยดี

นางบุญกอง กล่าวว่า เวลาที่มีเหตุการณ์ตามแนวชายแดนมา ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยบ้าง เพราะเราอยู่ในพื้นที่ชายแดน ต้องพร้อมทุกเวลา เพราะไม่วันใดก็วันหนึ่ง มันต้องมีแน่ ๆ เพราะว่าปี 54 เคยโดนมาแล้ว เคยได้อพยพออกมาแล้ว และยอมรับว่าเหตุการณ์เมื่อปี 54 กับตอนนี้ต่างกันมาก เพราะปีนี้แรงกว่าเดิม ตอนปี 54 อยู่ในตำบลด่าน ในพื้นที่ใกล้บ้าน แต่ครั้งนี้ออกมาไกล

นางบุญกอง ยอมรับว่า อยากกลับบ้าน แต่ถ้ายังไม่มีการประกาศให้กลับ ก็ต้องอยู่ก่อน ต้องเอาความปลอดภัยไว้ก่อน ซึ่งตนเองได้มีโอกาสกลับไปดูบ้านอยู่หนึ่งครั้ง บรรยากาศเงียบมาก ต่างจากคนปกติมาก และการอพยพออกมาทำให้ขาดรายได้ และขาดอาชีพ ขาดมากเลย ซึ่งมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงเขาก็ดูแลดี แต่เราก็ต้องมีรายได้มีอาชีพ พอไม่ได้ประกอบอาชีพ ค่าใช้จ่ายมันมีมาตลอด แต่รายรับมันไม่มี ก็อยากให้มีการช่วยเหลือมีอาชีพมีรายได้ที่พอจะบรรเทาได้ โดยปกติตนเองทำอาชีพเป็นชาวนา ซึ่งจากบ้านมาหลายวัน ก็ไม่ได้ไปดูที่นาว่าเป็นอย่างไร เมื่อฝนไม่ตก ก็น้ำแล้ง ไม่รู้ว่าข้าวจะอยู่หรือจะไป และในพื้นที่ตำบลที่ตนเองอยู่ก็ลูกกระสุนปืนใหญ่ตกมาที่นาอยู่

นางบุญกอง ยอมรับว่า ตนเองก็กังวลในระยะยาวแต่เราก็ต้องอยู่แผ่นดินของเรา เราก็ต้องอยู่ เราจะไปไหนได้ ถึงกังวลก็ต้องอยู่

Related Posts

Send this to a friend