‘แอมเนสตี้-ญาติผู้สูญหาย’ จี้ ‘ยุติธรรม’ บังคับใช้ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ตามกำหนด ทั้งฉบับ
‘แอมเนสตี้-ญาติผู้สูญหาย’ จี้ กระทรวงยุติธรรมบังคับใช้ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ตามกำหนด ทั้งฉบับ รอง อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิฯ เผยดัน พ.ร.ก.เข้าสภาฯ ไม่ทันสมัยนี้แน่ พร้อมเร่งทำระเบียบกลางให้ทัน 1 ต.ค.
วันนี้ (21 ก.พ. 66) ที่กระทรวงยุติธรรม แอมเนสตี้ ประเทศไทย ตัวแทนนักกิจกรรมและญาติผู้เสียหายจากการทรมานและอุ้มหาย ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้ยุติการเลื่อนหรือขยายระยะเวลาการบังคับใช้ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในบางมาตราออกไป และเน้นย้ำว่า พ.ร.บ. ดังกล่าวต้องเป็นกฎหมายที่บังคับใช้ทั้งฉบับ เพื่อยืนยันว่ารัฐบาลไทยตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องคุ้มครองบุคคลให้รอดพ้นและปลอดภัยจากการละเมิดที่ร้ายแรง รวมทั้งคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายและครอบครัว ซึ่งไม่ได้รับความเป็นธรรมมาเป็นเวลานาน โดยมี นายเกิดโชค เกษมวงศ์จิตร รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรมเป็นตัวแทนรับมอบข้อเรียกร้อง
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในมาตรา 22-25 ออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2566 โดยระบุเหตุผลถึงความจำเป็นต้องปรับปรุงการดำเนินการ บทบาท และหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมระดับหน่วยปฏิบัติและข้อขัดข้องเรื่องการจัดซื้อกล้อง และต้องเตรียมความพร้อมของบุคคลากรที่ต้องฝึกอบรมบุคลากรในการใช้อุปกรณ์
นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เปิดเผยว่า แอมเนสตี้ ประเทศไทย ติดตามความคืบหน้าของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 ที่จะมีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 นี้มาโดยตลอด เเต่การชะลอการบังคับใช้กฎหมายที่มีการผลักดันมามากกว่า 10 ปี อันเป็นกฎหมายสำคัญที่นำไปสู่การป้องกันการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศไทย และเป็นหนึ่งในพันธกิจหลายประการที่ทางการไทยได้ประกาศไว้ในเวทีโลก นำไปสู่การตั้งคำถามถึงความจริงใจของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้เสียหายและครอบครัวให้ได้รับสิทธิเรียกร้องตามกระบวนการยุติธรรมจากกรณีที่ถูกทรมานและบังคับให้สูญหาย
นางปิยนุช กล่าวว่า การที่ ครม. มีมติขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.บ. อุ้มหายฯ ในมาตรา 22-25 ออกไปนั้น ส่งผลให้ผู้เสียหายไม่สามารถเข้าถึงความยุติธรรม และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายคนอื่นไม่กล้าออกมาร้องเรียน ทั้งยังส่งสัญญาณต่อเจ้าพนักงานว่า พวกเขาอาจกระทำการละเมิดเช่นนี้ได้อีกโดยไม่ต้องรับโทษ อีกทั้งผู้เสียหายจากการทรมานและญาติของผู้ถูกบังคับให้สูญหาย ต่างยังคงยืนหยัดในการรณรงค์ให้มีการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว เพื่อเปิดทางให้พวกเขาได้รับความยุติธรรม เข้าถึงความจริง และการเยียวยาสำหรับครอบครัว ซึ่งกฎหมายฉบับนี้อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยพวกเขาในเรื่องนี้ได้
นางปิยนุช กล่าวเพิ่มเติมว่า ความล่าช้าในการบังคับใช้กฎหมายไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น เเต่ยังคงส่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในเรื่องความมุ่งมั่นต่อสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะด้านพันธกรณีที่ไทยมีต่ออนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (CAT) และอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) รวมถึงประเทศไทยเคยรับข้อเสนอในประเด็นเรื่องยุติการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ในเวทีรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยในกระบวนการทบทวนสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชน (UPR) รอบที่ 3 ทั้งหมด 39 ข้อ และให้คำมั่นสัญญาโดยสมัครใจในประเด็นดังกล่าว 2 ข้อ
“ที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รวบรวมกรณีการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายจากการทรมาน การกระทำการที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ระหว่างถูกควบคุมตัวในระหว่างปี 2557 และ 2558 ทั้งหมด 74 กรณี อีกทั้งคณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจ ขององค์การสหประชาชาติระบุในรายงานตั้งแต่ปี 2523 ถึง2562 ว่ามีผู้ถูกบังคับสูญหายอย่างน้อย 92 ราย และยังคงค้างอยู่ 76 ราย แสดงให้เห็นว่า สถานการณ์ดังกล่าวอยู่มาอย่างยาวนานและยังไม่มีแนวโน้มที่จะการคลี่คลายลง” นางปิยนุช กล่าว
ในนามของ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จึงขอเรียกร้องกระทรวงยุติธรรม ในฐานะที่มีหน้าที่ในการพัฒนากฎหมายและระบบบริหารจัดการของกระบวนการยุติธรรมให้เป็นเอกภาพ โปร่งใส คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งยังทำหน้าที่ช่วยเหลือให้ความรู้ทางกฎหมาย และสื่อสารกับองค์กรหน่วยงานอื่นๆ และสาธารณะเพื่อให้เป็นไปตามพันธกิจดังกล่าว ให้มีการดำเนินการดังนี้
1.ประกาศการใช้พระราชบัญญัติทั้งฉบับโดยไม่มีการยกเว้นบางมาตรา เพื่อทำตามพันธกรณีที่ประเทศไทยมีต่อ อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน (CAT) อีกทั้ง ให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาระหว่างประเทศ ว่าด้วยการคุ้มครองบุคคล ทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED) และพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีอื่น ๆ (OP-CAT)
2.ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำระเบียบหรือข้อกฎหมายย่อยในระดับกระทรวงเพื่อให้การ ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเป็นไปตามกฎหมาย ติดตามการปฏิบัติของหน่วยงานต่าง ๆ อีกทั้ง ดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นในการแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างถูกต้องสมบูรณ์และโดยเร็วที่สุด
3.การบังคับใช้จะต้องมีการประกาศ สื่อสาร และทำความเข้าใจกับสังคมในการเข้าถึงของกลไก มาตรการ และสิทธิที่ประชาชนมีภายใต้กฎหมาย ทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อันเป็นผลประโยชน์สูงสุดในการคุ้มครองและเติมเต็มสิทธิของประชาชน
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ระบุว่า ตนเองเคยถูกจับกุมล่ามโซ่จากกรณีประมวลกฎหมายอาญา ม.112 และตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติออก พ.ร.ก. เลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ก่อให้เกิดความเสียหายต่อต่อประชาชนที่ถูกกล่าวหา
นายสมยศ มองว่า การเลื่อนใช้ พ.ร.บ. ดังกล่าว โดยอ้างถึงความไม่พร้อมของตำรวจ เป็นความไม่สมเหตุสมผล จะอ้างว่าไม่มีอุปกรณ์ไม่ได้ และตั้งคำถามว่าตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่กับการทรมานหรือการอุ้มหายที่เกิดขึ้น ที่ผ่านมาทุกหน่วยงานมีความพร้อมในการดำเนินงานตามพระราชบัญญัตินี้ โดยเฉพาะอัยการสูงสุดที่ประกาศออกมาแล้วว่าพร้อม แต่ทำไมตำรวจจึงไม่พร้อม โดยตั้งคำถามว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ว่ากระทรวงรู้เห็นกับกรณีการออก พ.ร.ก. นี้หรือไม่
นางกัญญา ธีรวุฒิ แม่ของสยาม ธีรวุฒิ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่สูญหาย ระบุว่า รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่มีการเลื่อนการบังคับใช้กฎหมาย ได้โปรดช่วยเหลือ อย่าละเลย ตนเองสูญเสียลูกชายไป หวั่นใจทุกวัน นอนไม่หลับ โปรดเห็นใจผู้สูญเสียและผู้เสียหายประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ไม่ใช่มีแค่นายสยามคนเดียวแต่มีอีกหลายคน
นายเกิดโชค กล่าวตอบรับว่า กฎหมายที่รัฐบาลออกบังคับใช้ครั้งนี้ไม่ได้ยกเลิกกฎหมายทั้งฉบับ แต่เป็นการยกเว้นการบังคับใช้มาตรา 22-25 ซึ่ง เป็นเรื่องของการบันทึกภาพขณะตำรวจหรือบุคคลที่มีอำนาจทางกฎหมายเข้าไปจับกุมหรือควบคุมตัว โดยให้เหตุผลว่ายังไม่มีความพร้อมในเรื่องของกล้อง หรืออุปกรณ์ ก็คือยังไม่มีการบังคับใช้ในเรื่องของการถ่ายภาพ บันทึกเสียง แต่ยังยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้บังคับใช้ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 ตามปกติ และส่วนตัวก็หวังว่า ในวันที่ 1 ตุลาคม ตามที่พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เลื่อนออกไป จะมีความพร้อมใช้มาตราดังกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่มีการทรมานและอุ้มหายในขณะที่ไม่มีการเก็บข้อมูล นายเกิดโชค กล่าวว่า ในทางกฎหมาย ตำรวจไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว เพราะเป็นการกระทำเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แม้หากไม่มี พ.ร.บ. ดังกล่าว แล้วตำรวจกระทำการทรมานก็เป็นความผิด เพียงแต่มาตรา 22-25 เป็นตัวช่วยสร้างความโปร่งใสให้กับตำรวจ ซึ่งจริง ๆแล้วเป็นประโยชน์ต่อตำรวจเองด้วยซ้ำ เพราะประชาชนจะไม่สามารถกล่าวหาได้ว่าตำรวจกระทำการทรมาน
ส่วนกรณีที่นักกฎหมายบางส่วนให้ความเห็นว่าการออก พ.ร.ก. ครั้งนี้ไม่เข้าข่ายเงื่อนไขเหตุฉุกเฉินหรือสุดวิสัยนั้น นายเกิดโชค ตอบว่า หากนักกฎหมายเห็นว่าไม่สอดรับ ก็ให้ใช้กระบวนการที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนส่วนหนึ่งมองว่ามาตรา 22-25 เป็นสาระสำคัญของ พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าว หากยังยกเว้น ไม่นำไปใช้ จะส่งผลกระทบอะไรหรือไม่ นายเกิดโชค ตอบว่า มาตรา 22-25 มีเพื่อแสดงให้เห็นถึงความยุติธรรม ไม่ให้เกิดการโต้เถียงระหว่างญาติของผู้เสียหายและตำรวจ ญาติก็ไม่สามารถไปกล่าวอ้างได้ว่าตำรวจกระทำการทรมาน ส่วนตำรวจก็ชี้แจงได้ว่าไม่ใช่ผู้กระทำการทรมาน
ผู้สื่อข่าวถามว่า ระหว่างที่รอให้มาตรา 22-25 บังคับใช้ ทางกระทรวงยุติธรรมพูดคุยเกี่ยวกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อย่างไรบ้าง นายเกิดโชค ตอบว่า ก่อนที่จะมีการออก พ.ร.ก. ดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมอยู่ระหว่างการร่างระเบียบวิธีดำเนินการตามมาตรา 22-25 ซึ่งเป็นหน้าที่ที่กระทรวงยุติธรรมต้องเร่งระเบียบส่วนนี้ให้เสร็จก่อนวันที่ 1 ตุลาคม และยืนยันว่า มาตรา 22-25 ไม่ส่งผลให้เกิดปัญหากับ พ.ร.ก. ดังกล่าว เพราะกฎหมายแม่ คือการห้ามกระทำการทรมาน ยังคงอยู่ เพียงแต่เรื่องการถ่ายภาพถูกชะลอไว้ก่อน เพราะอุปกรณ์ถ่ายภาพยังไม่พร้อม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อมาตรา 22-25 ยังไม่ถูกบังคับใช้ ตำรวจยังสามารถใช้โทรศัพท์มือถือบันทึกภาพและเสียงไว้ได้หรือไม่ นายเกิดโชค ตอบว่า สามารถทำได้ เพียงแต่ยังไม่มีกฎหมายบังคับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 กระทรวงยุติธรรมจะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเสนอ พ.ร.ก. ฉบับนี้เข้าสู่รัฐสภาภายในสมัยประชุมนี้หรือไม่ นายเกิดโชค ตอบว่า ไม่ทันในสมัยประชุมนี้ แต่กระทรวงยุติธรรมยังคงยืนหยัดที่จะใช้กฎหมายฉบับนี้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ อย่าลืมว่ากระทรวงยุติธรรมเป็นผู้ริเริ่มกฎหมายฉบับนี้ รับพันธะสัญญามาจากต่างประเทศ อีกทั้งยังผลักดันกฎหมายร่วมกับภาคประชาชนมาโดยตลอดเพื่อรองรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย ยืนยันว่า 1 ตุลาคม จะได้เห็นความสมบูรณ์ของกฎหมายฉบับนี้












