POLITICS

นายกฯ ย้ำ เสถียรภาพทางการเมือง ยุบสภาฯ – เลือกตั้ง พร้อมทำประชามติปีหน้า

นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน “SET Government Roadshow 2025” ฟื้นคืนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย ย้ำ เสถียรภาพทางการเมือง ภายใต้วิสัยทัศน์ระยะยาว ยุบสภาฯ – เลือกตั้ง พร้อมทำประชามติในปีหน้า เพื่อเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนการบริหารเศรษฐกิจอย่างมีวินัยการคลัง และการวาง Road Map อนาคตที่น่าเชื่อถือ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน

วันนี้ (7 พ.ย. 68) เวลา 15:30 น. (ตามเวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเร็วกว่าเวลาประเทศไทย 1 ชั่วโมง) ที่โรงแรม InterContinental Singapore นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน SET Government Roadshow 2025 ภายใต้หัวข้อ “Confidence in Thailand’s Path Forward” เพื่อนำเสนอศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย และส่งสัญญาณความพร้อมของรัฐบาลไทยในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ การคลัง และตลาดทุนให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวรำลึกถึงความทรงจำเมื่อครั้งทำงานภาคเอกชนที่โรงแรม InterContinental ซึ่งเคยเป็นสถานที่จัด Roadshow เมื่อกว่า 30 ปีก่อน ซึ่งไทย และสิงคโปร์ต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสีเขียว ความมั่นคงทางอาหาร และการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ที่เป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นและความพร้อมของไทยในการก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตทางเศรษฐกิจที่มั่นคง และยั่งยืน

นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำว่า การจัด Roadshow เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล เพื่อแสดงศักยภาพและทรัพยากรที่ซ่อนอยู่ของประเทศไทย ซึ่งหลายฝ่ายอาจยังไม่รู้จัก พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยยังคงเป็น “ประเทศแห่งโอกาส” ที่มีความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจ รัฐบาลมุ่งเดินหน้าอย่างมั่นใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลก

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการหารือกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในเชิงยุทธศาสตร์ และความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจสีเขียว ความมั่นคงทางอาหาร และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล พร้อมกล่าวยินดีต่อการจัดงานในครั้งนี้ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านการลงทุนที่เชื่อถือได้ของไทย และการเข้าร่วมงานของทุกท่านในที่นี้ สะท้อนถึงความสนใจต่อการลงทุนในไทย และความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของประเทศไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีรู้สึกขอบคุณ

“ประเทศไทยในวันนี้มีความมั่นคง มีทิศทางที่ชัดเจน และพร้อมเดินหน้าไปข้างหน้าทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจ” นายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ำ

ในด้านการเมือง ประเทศไทยได้ก้าวสู่ยุคใหม่ แห่งความมั่นคงทางการเมือง รัฐบาลยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล ระบอบประชาธิปไตย และมุ่งสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจ และคาดการณ์ได้

นอกจากนี้ รัฐบาลได้วางแนวทางทางการเมืองที่ชัดเจน ภายใต้วิสัยทัศน์ระยะยาว โดยจะมีการยุบสภาฯ ภายในเดือนมกราคม 2569 และจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2569 พร้อมทั้งให้มีการทำประชามติเพื่อให้การปฏิรูปรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง โดยตลอดช่วงเวลานี้ รัฐบาลจะคงความมั่นคงและความต่อเนื่องทางนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้เดินหน้า และนักลงทุนสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ด้วยความมั่นใจ

ส่วนด้านเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ความน่าเชื่อถือ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยตระหนักดีว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้น ช้ากว่าที่คาดหวังและต่ำกว่าศักยภาพในระยะยาวของประเทศ แต่รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหานี้ด้วยมาตรการที่เจาะจงเพื่อกระตุ้นโมเมนตัมในระยะสั้น พร้อมกับวางรากฐานสำหรับการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต แนวทางของรัฐบาลนั้นเรียบง่าย ผ่านนโยบาย “Quick Big Win” ที่มุ่งเน้นการดำเนินการระยะสั้น เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและทั่วถึง ซึ่งนโยบายดังกล่าวเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยกระทรวงการคลังได้ปรับประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 เพิ่มขึ้นจาก 2.2% เป็น 2.4% ขณะที่ภาคการส่งออกมีการขยายตัวถึง 19% ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งทุกท่านจะได้รับทราบรายละเอียดเพิ่มเติมจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายหลังจากนี้

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า หากมองภาพใหญ่ พื้นฐานเศรษฐกิจมหภาคของไทยยังคงแข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ หนี้สาธารณะอยู่ที่ประมาณ 64.6 เปอร์เซ็นต์ต่อ GDP ซึ่งต่ำกว่าเพดานทางกฎหมายของไทย

ทั้งนี้ รัฐบาล ยืนยันว่า การใช้จ่ายงบประมาณอยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยทุกมาตรการจะมุ่งช่วยเหลืออย่างตรงจุด ทันเวลา ใช้เฉพาะช่วงที่จำเป็น และดำเนินการอย่างโปร่งใส ซึ่งช่วยสนับสนุนให้พื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคไทยยังคงแข็งแกร่ง อัตราเงินเฟ้อต่ำ และระดับการว่างงานต่ำ โดยเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายนอกของไทยยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบัญชีเดินสะพัดเกินดุลที่ 1.48 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 3.6 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ในสามไตรมาสแรกของปี 2568 และสถานะเงินสำรองระหว่างประเทศที่สูงที่ 2.73 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมการนำเข้าประมาณ 8 เดือน ณ เดือนกันยายน 2568

ส่วนเป้าหมายของรัฐบาลนั้นเรียบง่าย คือ เส้นทางที่มั่นคงที่จะนำประเทศไทยกลับสู่เส้นทางการเติบโตที่สูงขึ้น สร้างความเชื่อมั่นทางธุรกิจ และปกป้องครัวเรือนจากแรงกระแทกที่ไม่จำเป็น

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ผ่านความร่วมมือกับประเทศพันธมิตร โดยเฉพาะสิงคโปร์ ทั้งในด้านการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น การเชื่อมโยงระบบดิจิทัลระหว่างกัน และการร่วมลงทุนในนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ พร้อมมุ่งเน้นนโยบายที่ตอบโจทย์อนาคต โดยดำเนินมาตรการอย่างตรงเป้าหมายและให้เกิดผลระยะยาว ควบคู่กับการปฏิรูปและการลงทุนที่ช่วยเสริมฐานเศรษฐกิจให้มั่นคง

นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า รัฐบาลยังเร่งผลักดันความก้าวหน้าให้เห็นได้จริงในภาคส่วนสำคัญของประเทศ ทั้งนี้ ไทยกำลังพัฒนาให้เป็นประเทศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจมากขึ้น มีระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส โดยเน้นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ การเชื่อมต่อดิจิทัล และระบบพลังงานสะอาดทั่วประเทศ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยและยั่งยืน

โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทยได้รับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมากกว่า 2,600 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.37 ล้านล้านบาท หรือ 4.14 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงมีโครงการในอุตสาหกรรมเป้าหมายมูลค่ากว่า 4.7 แสนล้านบาท หรือ 1.42 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ 74 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้รับการผลักดันผ่านระบบ “BOI Fast Pass”

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำว่า ความรับผิดชอบทางการคลัง คือหัวใจสำคัญของแนวทางทั้งหมด โดยรัฐบาลมุ่งใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์และประสิทธิภาพอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ความโปร่งใสและความรับผิดชอบ คือรากฐานของความเชื่อมั่นจากนักลงทุน โดยรัฐบาลจะสื่อสารนโยบายอย่างเปิดเผย เพื่อให้ทุกภาคส่วนเห็นทิศทางของประเทศไทยอย่างชัดเจน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความสามารถทางการแข่งขันไม่ได้เกิดจากนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน และความร่วมมือระหว่างไทยกับประชาคมโลก ซึ่งในการหารือกับนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ในวันนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการเชื่อมโยงเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และการขยายความร่วมมือในสาขาแห่งอนาคต เช่น เศรษฐกิจสีเขียว ความมั่นคงทางอาหาร และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ซึ่งหนึ่งในความสำเร็จสำคัญ คือ ระบบ PromptPay–PayNow ซึ่งถือเป็นการเชื่อมโยงการชำระเงินแบบเรียลไทม์ครั้งแรกของโลก

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ความเชื่อมั่นไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่ต้องสร้างด้วยความน่าเชื่อถือ ความรับผิดชอบ และความยืดหยุ่น ซึ่งไทยได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่มั่นคง การบริหารเศรษฐกิจอย่างมีวินัย และความร่วมมือข้ามพรมแดน เพื่อสร้างเศรษฐกิจที่เชื่อมโยง มีนวัตกรรม และยั่งยืนมากขึ้น โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เชิญชวนให้นักลงทุนและนานาประเทศเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน และมองไทยในฐานะประเทศที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ มีพื้นฐานที่มั่นคง และพร้อมเปิดรับทุกความร่วมมือด้วยความเชื่อมั่น

Related Posts

Send this to a friend