‘ชวน’ ย้ำรัฐบาลต้องจริงจังแก้ปัญหาชายแดนใต้
‘ชวน’ อภิปรายหนุนรัฐบาลใหม่เดินหน้านโยบายต่อเนื่องที่เป็นประโยชน์ แต่ต้องจริงจังแก้ปัญหาชายแดนใต้ ย้ำ หลักนิติธรรมสำคัญกว่าความมั่นคงแบบใช้กำลัง ท้า ‘อนุทิน’ พิสูจน์ “คนรวยเป็นนักการเมืองโดยไม่โกง” ก็มีอยู่จริง
วันนี้ (30 ก.ย. 68) ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วน 1 คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานในการประชุม
นายชวน หลีกภัย สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นอภิปรายว่า นโยบาย 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ ถ้าเปรียบเทียบกับรัฐบาลก่อนนี้มีข้อเหมือนกันแตกต่างกัน แต่ข้อที่เหมือนกันมีอยู่หลายเรื่องที่เป็นประโยชน์ ตนเห็นด้วยว่า อะไรที่รัฐบาลก่อนทำมาแล้วเป็นประโยชน์ก็ควรจะทำต่อ และอะไรที่เห็นว่ามีปัญหาก็งดไปถือเป็นเรื่องดี ส่วนประเด็นที่คิดว่าเป็นนโยบายที่น่าจะสนับสนุนคือ เรื่องความมั่นคง นโยบายความมั่นคงได้เขียนไว้ 2 เรื่องคือ เรื่องกัมพูชา ส่วนเรื่องที่ 2 ที่อยู่ในข้อ 7 คือ ปัญหาชายแดนภาคใต้ ที่ตนเองได้พูดเรื่องนี้มาทุกครั้ง เพราะถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง ถ้าเราให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของชีวิตเหมือนกับที่เกิดขึ้นกรณีของกัมพูชา คือมีการสูญเสีย แต่ถ้าเทียบแล้วความรุนแรงในชายแดนภาคใต้นั้น ถือว่าต่อเนื่องยาวนานมา ไม่ใช่ภัยพิบัติแต่เกิดโดยฝีมือมนุษย์ กับความผิดพลาดของนโยบาย
นายชวน กล่าวต่อว่า ตนได้เอาเรื่องนี้มาทักท้วงตั้งแต่สมัยรัฐบาลของ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่นโยบายทั้งเล่มไม่มีเรื่องภาคใต้เลย ต่อมารัฐบาลของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เขียนไว้ 1 บรรทัด เพราะช่วง 1 ปี ของรัฐบาลนายเศรษฐา มีผู้เสียชีวิตประมาณ 112 คน และช่วงเกือบ 1 ปี ของนางสาวแพทองธาร มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 121 คน ยังไม่ทันที่นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล แถลงนโยบายก็มีผู้เสียชีวิต ทั้งคนร้าย และเจ้าหน้าที่ 3-4 คน เพราะปัญหานี้ถือว่าเราจะเสียหายกับเศรษฐกิจเท่าไหร่ก็ตาม ก็ไม่รุนแรงเท่ากับความเสียหายชีวิตของคน
ดังนั้น นโยบายความมั่นคงกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความสำคัญจำเป็นอย่างยิ่ง จึงจะต้องอธิบายนโยบายนี้ในข้อ 7 หน้า 4 เร่งรัดแก้ไขปัญหาพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ความหมายคืออะไร เพราะ 4 บรรทัดที่เขียนมานั้นอ่านแล้วก็อยากจะเข้าใจว่าทำอย่างไร โดยรัฐบาลจะเร่งรัดกับแนวทางการดำเนินงาน เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน คู่ขนานไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
นายชวน กล่าวต่ออีกว่า อยากขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอธิบายเรื่องนี้ เพราะเข้าใจว่า นายกรัฐมนตรีอาจจะไม่ลึกซึ้งเรื่องนี้มากนัก แต่รัฐมนตรีกลาโหมอาจจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี ถ้าเราคิดว่าเรื่องนี้ หลีกหนีไม่อยากพูดถึง กลัวว่าจะเหมือนไปตำหนิตัวเอง เราจะแก้ปัญหายาก แต่ถ้าเรายอมรับเป็นความจริง ก็มีบุคคลที่ให้ข้อมูล เช่น อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ยังมีชีวิตอยู่ ให้รีบไปขอข้อมูลเพราะท่านก็อายุมากแล้ว เพราะเป็นคนเดียวที่กล้าค้านที่รัฐบาลในสมัยนั้น ใช้นโยบายจัดการเดือนละ 10 คน 2 เดือนก็หมด ซึ่งไม่ผ่านกระบวนการฝ่ายอำนาจอธิปไตย ไม่ให้ศาลตัดสิน ฝ่ายบริหารไปตัดสินเอง ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น มีองค์กรใหม่เกิดขึ้น เราเรียกว่า RKK และเหตุการณ์นั้นคือ เหตุการณ์ของนโยบายที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อมา จึงอยากให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จำวันที่ 8 เม.ย. 44 ไว้ กับ พล.ท.เรวัตร รัตนผ่องใส อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นคนเดียวที่กล้าไม่เห็นด้วยกับนโยบายจัดการเดือนละ 10 คน ซึ่งถ้าเชื่อแม่ทัพภาคที่ 4 เหตุการณ์ขวานทองของเราจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น จึงอยากให้รัฐบาลเอาใจใส่เรื่องนี้ เพราะชีวิตหนึ่งชีวิต มีความหมายมากกว่าเงิน
นายชวน ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลควรเคร่งครัดในการรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด ถ้าเราทำเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น อย่างกรณีภาคใต้ถ้าเรายึดหลักนิติธรรม กระบวนการนี้จะไม่มีปัญหา ถ้าเราไปใช้หลักขั้นตอนให้ฝ่ายบริหารเป็นผู้ตัดสินเอง ควรตายหรือควรประหารชีวิต ทำให้ปัญหาออกมาเช่นนี้ และในช่วงของรัฐบาลนายเศรษฐา ตนได้เตือนว่า รัฐบาลขณะนั้นสามารถเลือกรักษานิติธรรม หรือเลือกพวก แต่รัฐบาลนั้นเลือกพวก รัฐบาลนั้นจึงมีอันเป็นไปล้มไป เพราะฉะนั้นจึงต้องรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด ตนจึงยินดีสนับสนุนนโยบายนี้ เพียงแต่ว่าในภาคปฏิบัติต้องทำ ไม่ใช่เราพูดแต่เพียงนโยบาย แต่ภาคปฏิบัติมีการละเลย ไม่ยึดหลักกฎหมาย ไม่ทำให้ผิดเป็นผิด ไม่ทำให้ถูกเป็นถูก หลายเรื่องที่เผชิญหน้าที่นายกฯต้องพบอยู่ ในข้อกล่าวหาอะไรก็ตาม ตนเองเชื่อว่าเมื่อเรารักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด อย่าไปแทรกแซงอย่างที่นายกฯ เองได้ประกาศชัดเจนว่าจะไม่ทำอย่างที่กังวล
นอกจากนี้ นายชวน กล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายในหน้า 2 ที่บอกว่า ทำควบคู่ไป คือต้องการวางรากฐานของประเทศขับเคลื่อนพัฒนาความสามารถ และวาระที่จะอยู่ 4 เดือน เพื่อยุบสภา คือการจัดการเลือกตั้ง แต่รัฐบาลต้องทำให้การเลือกตั้งนั้นเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่ เพื่อนำพาประเทศเข้าไปข้างหน้า แน่นอนการปกครองในระบอบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในระบอบประชาธิปไตย ระบบนี้จะเป็นกลไกที่นำความก้าวหน้ามาสู่ประเทศเรา ถ้ามาด้วยความชอบธรรม จึงอยากจะเสนอนายกรัฐมนตรีในเรื่องนี้ว่า ความประสงค์ที่จะวางรากฐาน ที่มีผลต่อไปในอนาคต เรามาทำเรื่องการเลือกตั้งที่นายกฯต้องรับผิดชอบ ให้สุจริตและเที่ยงธรรม เราจะได้นักการเมืองมาด้วยความสุจริต รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลสุจริตแน่นอน เพราะที่มาของการบริหารบ้านเมือง คือฝ่ายการเมืองนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของ สิ่งที่จะส่งความสุจริตหรือทุจริตมา ถ้านักการเมืองมาโดยสุจริตเราได้รัฐบาลสุจริต รัฐบาลทุจริตก็จัดตั้งข้าราชการทุจริต
ดังนั้น เราเปลี่ยนนายกฯ 3 คนความเห็นต่างกัน แต่เหมือนกันอย่างเดียว คือ รวยเหมือนกัน แต่สวนทางกับประชาชนที่ยากจนลง รายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนับล้านคน และตนเองคิดว่าเมื่อมีรัฐบาล 3 ชุดในห้วง 2 ปี อายุสภาสั้นลง 1 ปี เป็นการบ้านของรัฐบาลที่ต้องทำงานตามที่พูดไว้ ไม่เฉพาะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 164 (1) แต่ต้องยึดในคำถวายสัตย์ปฏิญาณด้วย เพราะหากใครไม่เคารพเรื่องดังกล่าวบุคคลผู้นั้นมีโอกาสเป็นไป
“นายกฯ มีโอกาสพิสูจน์ คนรวยไม่โกงก็มี ความเชื่อที่มีแต่เดิมว่าต้องสนับสนุนคนรวย นักการเมืองต้องดูแลงบประมาณมหาศาลจะไปเลือกคนไม่มีเงินไม่มีบ้านอยู่ เดี๋ยวจะคอรัปชั่นโกง ในสมัยนั้นรณรงค์เพื่อสนับสนุนคนรวย แต่เวลาก็พิสูจน์ว่า ความดีความจนไม่ใช่ตัวกำหนด รวยที่สุดก็ทุจริตโกง โคตรโกงก็มี นายกฯ ต้องมีโอกาสพิสูจน์ว่าไม่จริงหรอก เป็นเรื่องตัวบุคคลในฐานะท่านเป็นคนหนึ่งอยู่ในกลุ่มคนรวย พิสูจน์ให้เห็นว่าคนรวยมาเป็นนักการเมืองไม่โกงก็มี” นายชวน กล่าว












