POLITICS

เปิดคำสั่งศาลฎีกาฯ ‘ทักษิณ’ ไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ไม่ป่วยวิกฤตจริง-แค่ผ่าตัดนิ้วล็อกไปรักษาที่เรือนจำได้ -รู้เห็นการรักษาเพื่อประโยชน์ ให้จำคุกใหม่ 1 ปี

วันที่ 9 ก.ย. 68 เวลา 10.00 น. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งบังคับโทษนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้จำคุก 1 ปี ตามที่ได้รับพระราชทานอภัยลดโทษ เนื่องจากการรักษาตัวนอกเรือนจำที่ชั้น 14 ของนายทักษิณ ระหว่างวันที่ 23 ส.ค. 2566 – 18 ก.พ. 2567 เป็นการบังคับโทษที่มิชอบด้วยกฎหมาย พบหลักฐานว่านายทักษิณ ไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง และรับรู้ถึงขั้นตอนมีส่วนการตัดสินใจให้ได้ประโยชน์ จึงบังคับโทษให้จำคุกนายทักษิณ 1 ปี และส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที

The Reporters ได้เข้าฟังการอ่านคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยนายทักษิณ ชินวัตร ในฐานะจำเลย ได้เข้าฟังคำสั่งด้วยตัวเองพร้อมด้วยบุตรสาว น.ส. แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส. พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว พร้อมด้วยสามีของทั้งสองคน และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีและทนายความ

‘สบายมาก’ ทักษิณ บอกก่อนฟังคำสั่งศาลฎีกา

ก่อนฟังคำสั่งศาลฎีกา นายทักษิณ ทักทายผู้สื่อข่าว The Reporters (ฐปณีย์ เอียดศรีไชย) ซึ่งสอบถามว่ามีกำลังใจดีหรือไม่ นายทักษิณตอบว่า “สบายมาก” แต่เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของนายทักษิณ เป็นกังวล และระหว่างการนั่งฟังคำพิพากษาตลอด 1 ชั่วโมง บรรยากาศในฝั่งจำเลยตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด

คำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2558 ซึ่งเป็นคดีที่สืบเนื่องจากศาลฎีกาฯ ได้ออกหมายจำคุกคดีเป็นที่สุด กับนายทักษิณ ในความผิดคดีเมื่อปี 2551-2552 ซึ่งต้องโทษจำคุกรวม 8 ปี แต่มีผู้ยื่นคำร้อง คือ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ สส. พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งยื่นมาถึง 3 ครั้ง ศาลรับคำร้องในครั้งสุดท้ายวันที่ 10 ม.ค. 68 เพราะศาลมีอำนาจไต่สวนว่ามีการบังคับโทษเป็นไปตามหมายจำคุกเป็นที่สุดของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

‘ทักษิณ’ ไม่ได้ป่วยวิกฤตจริง

ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 22 ส.ค. 2566 หลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาให้จำคุกนายทักษิณในคดีเดิม และให้ส่งตัวนายทักษิณ จำคุกที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ มีการนำตัวนายทักษิณไปที่ห้องกักโรค แดน 7 สถานพยาบาล

เวลา 10.00 น. วันที่ 22 ส.ค. 2566 พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ได้ตรวจร่างกายบันทึกประวัติจากเวชระเบียน รพ. ต่างประเทศ พบมี 10 โรค เช่น หัวใจ มีแคลเซียมเกาะในหลอดเลือด ภาวะเสี่ยงหลอดเลือดหัวใจรั่ว 65-70 % ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดี หัวใจรั่วเล็กน้อยแต่ไม่ผิดปกติ โดยนายทักษิณ มีอาการแน่นหน้าอกอยู่เดิม แต่ตอนแพทย์ตรวจไม่พบว่าแน่นหน้าอก และมีโรคปอดเรื้อรัง จากการติดเชื้อโควิดลงปอดเมื่อปี 2563 และตรวจออกซิเจนปลายนิ้วได้ 94 % กระดูกสันหลังเสื่อมที่คอกดทับเส้นประสาท ขาอ่อนแรงแต่มียาแก้ปวด ต้องทำกายภาพบำบัด และมีไวรัสตับอักเสบบี โดยรับยามาตลอด รวมถึงเคยผ่าตัดนิ่วถุงน้ำดี และมีความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง รวมถึงติดเชื้อในกระเพาะอาหาร ได้รับยาฆ่าเชื้อ และต้อกระจกได้รับยาต่อเนื่อง มีเพียง 3 โรคที่แพทย์โรงพยาบาลราชทัณฑ์ เห็นว่านายทักษิณ ควรได้รับการรักษาเพิ่ม คือ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท โรคหัวใจ และโรคไวรัสตับอักเสบบี ทาง รพ. ราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจและไม่มีคลินิกโรคตับ แพทย์จึงให้ความเห็นว่าให้ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาโรงพยาบาลภายนอกได้ในวันและเวลาราชการ

แต่ในเวลา 22.00 น. ของวันที่ 22 ส.ค. 66 ตามที่นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวร เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครให้การว่าได้ตรวจสุขภาพนายทักษิณ ทั้งความดันโลหิต อัตราการเต้นหัวใจ และออกซิเจนปลายนิ้ว พบว่านายทักษิณ มีอาการอ่อนเพลีย ขาอ่อนแรง แน่นหน้าอก นอนไม่หลับ จึงปรึกษานายแพทย์นทพร ปิยะสิน แพทย์เวรทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แนะนำให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลภายนอกได้ และ นายธัญพิสิษฐ์ ได้ปรึกษาไปยัง พญ.รวมทิพย์ว่าให้ส่งตัวไปตามคำแนะนำของแพทย์เวร จึงส่งตัวนายทักษิณ ไปยัง โรงพยาบาลตำรวจ โดยนายสมศักดิ์ บุดดีคำ ทำหน้าที่ผู้ช่วยพัสดี ทำความเห็น ส่งตัวนายทักษิณ ไปยัง รพ. ตำรวจ ออกเดินทางไปถึงในเวลา 00.20 น. วันที่ 23 ส.ค. 2566

รพ. ตำรวจไม่รับตัวผู้ต้องขังตามระเบียบส่งตัวไปชั้น 14 ทันที

ขั้นตอนการรับตัวนายทักษิณ ที่ รพ. ตำรวจ เป็นประเด็นสำคัญที่ศาลฎีกานำความเห็นของ ศ.เกียรติคุณ ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา ระบุว่า หากนายทักษิณ ถูกนำตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอก มีความดันโลหิตสูง วัดได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92 % อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส แล้วพยาบาลเวรทำความเห็นส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ที่อยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพเพียง 200 เมตร และมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดต่อพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ 2560 และกฎกระทรวงในการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ซึ่งต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลเรือนจำโดยเร็ว หากอาการไม่ทุเลาดีขึ้น แพทย์ พยาบาลหรือเจ้าพนักงานเรือนจำ สามารถพาผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้

นอกจากนี้การส่งตัวนายทักษิณ ไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉิน เนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงพบว่า เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ จำเลยไม่ได้ถูกนำตัวไปห้องฉุกเฉินเพื่อทำการรักษา แต่ถูกนำตัวไปที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุที่ขัดต่อระเบียบของโรงพยาบาลตำรวจว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยที่มีคดีหรือผู้ต้องขัง เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น

ซึ่งความเห็นของ ศ.เกียรติคุณ นพ. ประสิทธิ์ และ ศ.นพ. ไชยรัตน์ ให้ความเห็นตรงกันว่าการรักษาจำเลยในคืนที่รับตัวมาที่โรงพยาบาลตำรวจ หากเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน จากอาการแน่นหน้าอก แต่ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที แต่มาตรวจในวันที่ 24 ส.ค. 2566 หรือหลังจาก 24 ชม. ไปแล้ว และความเห็นจาก นพ.วัฒนชัย มุ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และ นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ ระบุว่าที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลม และยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของโรงพยาบาลตำรวจได้

แสดงให้เห็นว่าอาการของนายทักษิณ ในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ ไม่จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ

ศาลเชื่อว่า ‘ทักษิณ’ ไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก

ศาลเชื่อว่าในคืนวันที่ 22 ส.ค. 66 จำเลยคือนายทักษิณ ไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอกแต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพใช้เป็นเหตุเป็นข้ออ้างในการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ และจากเวชระเบียนของ รพ. ตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 66 เป็นต้นไป ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถดูแลจำเลยได้ และสามารถกลับไปรักษาที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพหรือโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้

แค่ผ่าตัดนิ้วล็อก ไม่เป็นเหตุให้ได้รักษาตัวนอกเรือนจำต่อได้

ประเด็นสำคัญที่ศาลเห็นว่า การที่กรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยคือนายทักษิณ รักษาตัวนอกเรือนจำได้ เป็นการบังคับโทษที่มิชอบด้วยกฎหมาย เพราะระหว่างการรักษาตัวของนายทักษิณ ที่ รพ. ตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2566 จนถึงวันที่ออกจากโรงพยาบาล 18 ก.พ. 2567 แพทย์โรงพยาบาลตำรวจได้ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพใช้เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวนอกเรือนจำได้ จำนวน 3 ครั้ง ในวันที่ 15 ก.ย. 2566 เป็นเวลา 30 วัน ในวันที่ 18 ต.ค. 2566 อีก 60 วัน และในวันที่ 21 ธ.ค. 2566 อีก 120 วัน

โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลือดและผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับนั้น ทั้งที่การผ่าตัดในใบแสดงความเห็นแพทย์ เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่ รพ. ตำรวจ ไม่ใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวมาที่ รพ. ตำรวจ ซึ่งการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่ รพ. ตำรวจ แต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด และในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท จนกระทั่งออกจากโรงพยาบาลตำรวจ

ซึ่งการอ่านคำสั่งศาลระบุถึง พล.ต.ท. นพ. ทวีศิลป์ เวชวิทารณ์ นายแพทย์ใหญ่ที่ได้รับการรายงานการแอดมิดของนายทักษิณ ในเช้าวันที่ 23 ส.ค. 66, พ.ต.อ. นพ. ชนะ จงโชคดี แพทย์เจ้าของไข้ และ พล.ต.ต. สามารถ ม่วงศิริ หนึ่งในผู้ออกใบรับรองแพทย์

‘ทักษิณ’ รับรู้ได้ประโยชน์และมีส่วนตัดสินใจในการรักษา

สิ่งที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองชี้ชัด ว่าการบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีหลักฐานไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉิน มีเพียงโรคประจำตัว ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่ต้องไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

ที่สำคัญพบว่า จำเลยคือนายทักษิณ รับรู้ และเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการ และเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ส่งผลให้การรักษาตัวใน รพ. ตำรวจขยายระยะเวลาออกไป นายทักษิณ จึงได้ประโยชน์ไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพจนได้รับการปล่อยตัว

สั่งให้จำคุก 1 ปี ไม่นับการรักษาตัวที่ รพ. ตำรวจ

คำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไม่นับการบังคับโทษที่นายทักษิณ ไปรักษาตัวที่ รพ. ตำรวจเป็นจำนวน 180 วัน เพราะเป็นการบังคับโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงให้รับโทษจำคุกใหม่ 1 ปี ตามที่มีพระบรมราชโองการอภัยลดโทษ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2566

คำสั่งศาลฎีกาวันนี้จึงเริ่มนับหนึ่งจำคุก ‘ทักษิณ ชินวัตร’ นับจากวันที่ 9 ก.ย. 2568 เป็นเวลา 1 ปี เป็นการจำคุกย้อนหลัง 2 ปี นับจากมีหมายจำคุกเป็นที่สุดเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2566

รายงาน: ฐปณีย์ เอียดศรีไชย

Related Posts

Send this to a friend